เยือนฟลอเรนซ์อิตาลี
ศูนย์กลางศิลปะล้ำค่า
เยือนฟลอเรนซ์อิตาลีศูนย์กลางศิลปะล้ำค่า – ต้องออกตัวก่อนว่าทริปนี้ไปมาก่อนเกิดสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา
อิตาลี เป็นประเทศอันดับต้นๆ ที่ได้รับผลกระทบหนัก ใครที่วางโปรแกรมไปเยือนคงต้องพับแผนอีกนาน เราจึงนำบรรยากาศการท่องเที่ยวมาให้สัมผัสกันไปพลางๆ ก่อน
ก่อนหน้านี้เราได้ชมเวนิซเกือบครบทุกแลนด์มาร์กแล้ว จึงนั่งรถไฟความเร็วสูงออกจากเวนิซ ใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมง ก็มาถึงสถานีรถไฟหลักของฟลอเรนซ์ เมืองต้นกำเนิดของยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ ในแคว้นทัศคานีทางตอนกลางของอิตาลี
เราเดินไปที่พัก Airbnb ใจกลางเมือง เหลือบเห็นป้าเซเรนาเจ้าของบ้านมายืนรอรับพาเข้าที่พัก ซึ่งเป็นตึกหินโบราณขนาดมหึมาที่งดงามด้วยผนังภาพเขียนสีน้ำมันอันเก่าแก่และอันน่า เกรงขาม
ป้าเซเรนาเล่าให้ฟังว่า ตึกนี้ถูกออกแบบโดยสถาปนิกชื่อดัง ของฟลอเรนซ์ คือบาร์โทโลมิโอ อัมมานาติ ซึ่งออกแบบปรับปรุงพระราชวังปิตตี (Palazzo Pitti) ของที่นี่เชียวนะ
เรามาถึงสายเลยต้องรีบทำเวลาเดินไปริมแม่น้ำอาร์โน ซึ่งเป็นที่ตั้งของหอศิลป์อุฟฟีซี (Uffizi) เพื่อไปรับบัตรจากเอเยนต์เข้าชมผลงานศิลปะของศิลปินชื่อก้องโลกกว่า 2,500 ชิ้น อาทิ บอตติเชลลี, ไมเคิลแองเจโล, เลโอนาร์โด ดา วินชี
ภาพที่ดูแล้วประทับใจมากคือภาพการประกาศของเทพ (Annunciation) ภาพเขียนสีน้ำมันของเลโอนาร์โด ดา วินชี จิตรกรผู้โด่งดังสมัยเรอเนสซองส์ชาวอิตาลี ในภาพเป็นการประกาศของ เทวดาเกเบรียล ต่อเวอร์จินแมรีว่าจะทรงให้กำเนิดแก่พระเยซู
อีกภาพที่ทำเราตะลึงคือภาพสีสันเสื้อผ้าตัวละครที่สดใสและมีความพลิ้วไหวเหมือนจริงจนน่าตกใจ คือภาพ The Holy Family ของ ไมเคิลแองเจโล สถาปนิก นักประติมากรรม คีตกวีชั้นเทพ ยุคเรอเนสซองส์ ซึ่งเป็นคู่แข่งคนสำคัญของ เลโอนาร์โด ดา วินชี เป็นภาพที่พระนางมารีกำลังจะไปรับพระคริสต์จาก St.Joseph มีแววตาที่ค่อนข้างหมองเศร้าอันเป็นการบ่งบอกถึงชะตากรรมของพระคริสต์
กว่าจะดูครบทั้งตึกเราใช้เวลาเกือบ 2 ชั่วโมงถือว่าคุ้มค่ามากๆ ที่ได้มาเยือน
ออกจากหอศิลป์เดินต่อไปที่จัตุรัส เปียซซาเดลซิญญอเรีย (Piazza della Signoria) ที่มีพระราชวังปาลาซซ่า เวคคิโอ (Palazzo Vecchiol) ตั้งสวยเด่นเป็น ฉากหลัง ปัจจุบันเป็นทาวน์ฮอล มีหอคอย สูงให้ขึ้นไปชมวิวเมือง ส่วนด้านหน้ามีประติมากรรมหินอ่อน เดวิด จำลอง (David) ยืนเปลือยเย้ายวนให้ถ่ายรูปคู่ซะด้วย
เสพศิลป์จนอิ่มตา แต่ท้องหิวโหยอยากกินข้าวจับใจหลังจากโซ้ยขนมปัง ชีส นม เนยมาหลายวัน หยิบโทรศัพท์เสิร์ชหาร้านข้าวมาจบที่ร้านอาหารปากีสถานชื่อ Pak Halal Kebab สั่งข้าวราดแกงและไก่ย่าง กะกินให้หายอยากแต่กลับถูกปากอร่อยเลิศ แถมราคาเป็นมิตรมากๆ
ขากลับแวะร้านขายของที่ระลึกจัดแม็กเน็ตลายสวยงามประณีตของเมืองศิลปะมาหลายอัน ภาพเขียนเลียนแบบรูปดังในอุฟฟีซีเราก็จัดมา เดินตัวเบากลับบ้านไปอีกวัน
เช้าวันที่ 2 ในฟลอเรนซ์อากาศดูอึมครึม เราคว้าเสื้อโค้ตและผ้าพันคอเดิน ออกสำรวจจุดไฮไลต์มหาวิหารฟลอเรนซ์ (Florence Cathedral) อายุกว่า 800 ปี ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของยุโรป ซึ่งตั้งอยู่ที่ จัตุรัสเปียซซ่า เดล ดูโอโม
จุดเด่นคือ โดมสีส้มแดงขนาดมหึมาอันงดงาม สัญลักษณ์ความสำเร็จทางด้านสถาปัตยกรรมของยุคเรอเนสซองส์ตัวจริง ตัวอาคารภายนอกทำด้วยหินอ่อนสีขาว แต่งด้วยหินสีเขียวและชมพู คล้ายกับสีธงชาติอิตาลี บางจุดถูกตกแต่งด้วยหินแกะสลักอ่อนช้อยงดงาม โดยเฉพาะซุ้มประตู และยังมีหอระฆัง Giotto ให้ขึ้นไปส่องวิวเมืองด้วย
จากนั้นเราตรงรี่ไปสำรวจกระเพาะของเมืองตลาดเมรากาโต้ เชนตาเร่ (Mercato Centrale) แหล่งรวมวัตถุดิบอาหารสด และอาหารสำเร็จรูปสไตล์ทัศคานีให้คนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวได้เข้าไปช็อป ชิม ลิ้มลองไล่ตั้งแต่ น้ำมันมะกอก ชีส เนื้อสัตว์ และเครื่องเทศขึ้นชื่อ
เราตัดสินใจฝากท้องที่ร้านอาหารราคาเบาๆ ที่เก่าแก่เกือบ 150 ปี อย่าง ดา เนอร์โบน (Da Nerbone) ซึ่งเมนูที่โด่งดังของที่นี่คือ เบอร์เกอร์กระเพาะวัว แต่เราขอลองแค่เบอร์เกอร์เนื้อวัวก็พอ อร่อยอย่าบอกใคร
คาวเสร็จแล้วก็ต้องหวานตาม เรามุ่งหน้าไปเช็กอินที่คาเฟ่จิลลี่ (CAFE GILLI) ร้านกาแฟเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก อีกหนึ่งหมุดหมายที่นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกต้องมาลอง ภายในร้านตกแต่งหรูหรา คลาสสิค มีบรรดาขนมเค้ก คุกกี้ ชิ้นเล็กๆ สารพัดชนิดวางเรียงรายตรงหน้า เราเลยสั่งกาแฟมา 2 แก้วกับเค้กอีก 1 ชิ้นเล็ก
ก่อนหย่อนก้นนั่ง พนักงานบอกต้องเสียค่านั่งด้วย รวมค่าเสียหายมื้อนี้เกือบๆ พันบาท รสชาติไม่อร่อยว้าวอย่างที่คิด แต่อย่างน้อยวิวตรงหน้าตรง Piazza della Repubblica ซึ่งเป็นจัตุรัสเก่าแก่หลักประจำเมืองที่มีม้าหมุนโบราณเปิดไฟระยิบระยับสวยงามตั้งไว้ให้เด็กๆ มาเล่นสนุกสนานกัน ทำให้เราสดชื่นขึ้นมาได้นิดนึง เราเดินเล่นต่อไปรอบๆ เมือง เดินผ่านร้านค้าแบรนด์เนมบนถนน Via Por Santa Maria ซึ่งปลายถนนเป็นที่ตั้งของสะพานเวคคิโอ (Ponte Vecchio) สะพานโบราณแห่งเดียวที่รอดจากการทิ้งระเบิดของพันธมิตรช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 บนสะพานเต็มไปด้วยร้านขายทองและเครื่องประดับให้เลือกช็อปกันจุใจ
ถ้าสังเกตข้างบนสะพานจะเห็นว่ามีการสร้างเป็นทางเดินแบบปิดซ้อนเป็นชั้นที่ 2 ให้ตระกูลเมดิชี มหาเศรษฐีและผู้ปกครองเมืองฟลอเรนซ์สมัยก่อน ใช้เป็นทางเดินส่วนตัว เดินจากพระราชวัง ปิตติไปทำงานยังพิพิธภัณฑ์อุฟฟีซี ซึ่งสมัยก่อนเป็นออฟฟิศ เพื่อหลีกเลี่ยงการเดินปะปนกับคนทั่วไป
คืนนี้ตรงกับคืนปล่อยผี หรือวันฮัลโลวีนของฝรั่ง พอฟ้าเริ่มมืดเด็กๆ ที่แต่งตัวเป็นภูตผีเริ่มเดินออกมาประชันความน่ากลัวเต็มเมืองแบบไม่มีใครยอมใคร เด็กเล็กๆ จะมีผู้ปกครองพาเดินออกมาปล้นสะดมขนม ลูกอมลูกกวาดตามร้านขายของทั่วเมือง ส่วนผีวัยรุ่นก็มาเป็นแก๊ง สร้างสีสันให้เป็นค่ำคืนที่น่าสนุกสนานและจดจำยิ่งนัก
วันที่ 3 เป็นวันสุดท้ายที่ฟลอเรนซ์ เราตื่นแต่เช้าออกเดินจากที่พักข้ามแม่น้ำอาร์โนไปอีกฝั่งหนึ่งของเมือง เพื่อเดินต่อขึ้นเขาไปยังจุดชมวิว ลานไมเคิลแองเจโล ในย่านโอลทราโน (Oltrarno) โชคดีอากาศเป็นใจ ฟ้าใสโปร่งมากๆ ทำให้มองเห็นเมืองฟลอเรนซ์ และสถานที่สำคัญๆ ของเมืองได้ครบถ้วน สวยสดงดงามคลาสสิคเกินบรรยาย
โดยเฉพาะภาพของดูโอโมโดมสีส้มแดงบนฉากหลังที่เป็นเทือกเขาเซตทิคนาโน่ (Settignano) และไฟย์โซล (Fiesole) ให้ความรู้สึกสวยตรึงตรา จนต้องคว้ากล้องมาถ่ายรัวๆ เกือบ 50 รูป
เหมือนจะย้ำว่าต้องกลับมาชื่นชมเมืองศูนย์กลางศิลปะอันล้ำค่าแห่งนี้อีกครั้งอย่างแน่นอน