จิตแพทย์หนุน กม.ห้ามสอบเข้า ป.1 ชี้เด็กวัยนี้ไม่ควรสอบแข่งขัน ทำเด็กเครียด ไม่อยากไปโรงเรียน

กม.ห้ามสอบเข้า ป.1 – กรณีคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.การพัฒนาเด็กปฐมวัย พ.ศ. … ซึ่งมีสาระสำคัญในเรื่องการรับเด็กเข้าสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยและสถานศึกษา ไม่ให้มีการสอบเข้า หรือไม่ให้มีการสอบเข้าอนุบาลหรือ ป.1

เมื่อวันที่ 26 ต.ค. พญ.ศุภรัตน์ เอกอัศวิน ผู้ทรงคุณวุฒิ สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ กทม. กล่าวถึงเรื่องนี้ ว่า ตนเห็นด้วยกับการออกกฎหมายดังกล่าวที่ไม่ให้มีการจัดสอบเข้าอนุบาลหรือ ป.1 และหากกฎหมายดังกล่าวจะผ่านออกมาบังคับใช้จริง จะเป็นเรื่องดีสำหรับเด็กไทย

เนื่องจากเด็กในช่วงวัยดังกล่าวเป็นช่วงที่จะต้องพัฒนาทักษะการใช้ชีวิตต่างๆ ทั้งทักษะทางสังคม การเรียนรู้สิ่งแวดล้อม การช่วยเหลือตัวเอง การจากบ้านเป็นเวลานาน การอยู่ร่วมกับเพื่อน ครู การมีวินัยในตนเอง เป็นต้น

ซึ่งไม่ใช่วัยที่จะมีความพร้อมในการสอบแข่งขัน ดังนั้น หากการเรียนการสอนในช่วงอนุบาลหรือ ป.1 เน้นในเรื่องทักษะเหล่านี้ ก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องใช้การสอบเข้า แต่อาจมีอยู่เหตุผลเดียวคือ การแย่งกันเข้าที่เรียน นอกจากนี้ การเรียนการสอนก็ไม่ควรให้ความรู้สึกกดดันกับเด็ก หรือการให้การบ้านมาทำจำนวนมาก แล้วมีการสอบแข่งขันกันระหว่างเรียน

เด็กในช่วงวัยไม่เกิน 7-8 ขวบนี้ หรือช่วงชั้น ป.1 ไม่ควรมีการสอบแข่งขันใดๆ แต่ควรเน้นเรื่องทักษะการใช้ชีวิตต่างๆ ซึ่งปัจจุบันก็ได้ยินมาว่ามีสถานการณ์การสอบในเด็กเล็กมากขึ้น

แต่ที่สังเกต คือ ไม่ค่อยมีผู้ปกครองในการพาเด็กวัยนี้มาพบจิตแพทย์ เนื่องจากอาจไม่ทราบว่าเด็กมีความเครียด เพราะเด็กไม่สามารถอธิบายความรู้สึกในเรื่องอย่างนี้ออกมาได้ ทำให้ผู้ปกครองไม่ทราบ แต่ย้ำว่า การให้เด็กวัยนี้สอบแข่งขันต่างๆ สร้างความเครียดและกดดันให้แก่เด็กได้เช่นกัน

ซึ่งวิธีการสังเกตว่าเด็กมีความเครียดหรือไม่ คือ เด็กอาจมีอาการซน ก้าวร้าว ไม่ให้ความร่วมมือ ไม่อยากไปโรงเรียน ก็เป็นอาการที่ช่วยให้พ่อแม่สังเกตได้” พญ.ศุภรัตน์ กล่าว

พญ.ศุภรัตน์ กล่าวว่า ส่วนใหญ่เด็กในวัยนี้จะเกิดความเครียดจาก 3 ปัจจัย คือ ปัจจัยทางบ้าน เช่น พ่อแม่มีปัญหา หรือทะเลาะกัน ตรงนี้พ่อแม่ต้องแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์และอย่าให้เด็กรับรู้เรื่องเหล่านี้ ปัจจัยที่โรงเรียนจากครู เพื่อน และการเรียน

โดยเด็กอาจไม่มีความสามารถมากพอในการเรียน มีการบ้านเยอะมาก และปัจจัยที่ตัวเด็กเอง ซึ่งบางคนอาจมีปัญหาด้านอารมณ์ หรือสมาธิสั้น ก็ทำให้มีปัญหาในเรื่องของการเรียนรู้ได้ ซึ่งพ่อแม่ต้องคอยสำรวจปัญหาเหล่านี้ด้วยและหาทางแก้ปัญหา

เมื่อถามถึงค่านิยมพ่อแม่บังคับให้ลูกเล็กเรียนพิเศษ ฝึกอ่านเขียนให้ไว เพราะกลัวสู้ลูกเพื่อนไม่ได้ กลัวอ่านเขียนไม่ได้ จนสร้างความกดดันให้เด็ก พญ.ศุภรัตน์ กล่าวว่า อย่างที่บอกว่าช่วงก่อน 7-8 ขวบ เป็นช่วงที่ต้องฝึกทักษะ ฝึกวินัยต่างๆ ให้แก่เด็ก จะมาฝึกเอาตอนวัยรุ่นนั้นไม่ได้แล้ว ช่วงวัยนี้เป็นเวลาทองที่จะต้องฝึก

ดังนั้น พ่อแม่และโรงเรียนก็ต้องเน้นในเรื่องเหล่านี้ ยังไม่เน้นเรื่องของการอ่านออกเขียนได้หรือทางวิชาการมากจนเกินไป โดยเด็กที่พ้น 8 ขวบไปแล้ว หรือช่วง ป.2 ขึ้นไปเด็กจะเริ่มเก่งทุกอย่างในการใช้ชีวิต การช่วยเหลือตัวเองแล้ว ค่อยเน้นเรื่องทางวิชาการก็ยังไม่สาย

ส่วนที่กลัวว่าลูกจะอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ในช่วง ป.1 ก็ไม่อยากให้กังวล เพราะจริงๆ แล้วเด็กเขามีการเรียนรู้เริ่มเขียนอ่านได้แล้ว เพราะเขาเห็นตัวอย่างจากผู้ใหญ่ในการเขียนอ่านก็พยายามเลียนแบบ แต่อาจจะไม่คล่อง ซึ่งต้องไม่ไปสร้างความกดดันให้เด็ก

พญ.ศุภรัตน์ กล่าวว่า ในการประเมินว่าเด็กอ่านออกเขียนได้หรือไม่นั้น ต้องชี้แจงว่า อยากให้ดูจากพัฒนาการของเด็กว่าสมวัยหรือไม่ ซึ่งจะมีสมุดเล่มสีชมพูในการบันทึกพัฒนาการของลูกว่า ในช่วงวัยนี้เขาต้องทำอะไรได้บ้างแล้ว ก็ช่วยในการประเมินได้

แต่เมื่อเข้าโรงเรียนก็จะมีครูช่วยประเมินพัฒนาการของเด็ก โดยจะดูจากค่าเฉลี่ยของห้อง เช่น การเขียนตัวอักษรนี้ หรืออ่านคำๆ นี้ เด็กส่วนใหญ่สามารถทำได้หรือไม่ ซึ่งหากสามารถทำได้ อยู่ในกลุ่มเฉลี่ย 2 ใน 3 ของห้องก็อาจประเมินได้ว่าเด็กพัฒนาปกติ

แต่หากทำไม่ได้อยู่ในโซนรั้งท้าย 1 ใน 3 ก็อาจประเมินว่าเด็กมีความผิดปกติอะไรหรือไม่ ซึ่งครูก็จะแจ้งให้ผู้ปกครองรับทราบ แต่ยืนยันว่าการประเมินต้องไม่ทำให้เด็กรู้สึกกดดันหรือประเมินในเรื่องของทางวิชาการมากจนเกินไป แต่ควรประเมินในเรื่องทักษะการใช้ชีวิตของเด็กมากกว่า สำหรับในช่วง ป.1 ลงมา

เพิ่มเพื่อนเป็นเพื่อนกับ Line@ ข่าวสด รู้ข่าวก่อนใคร คลิกเลย!

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน