“เสียงรถด่วน ขบวนสุดท้าย” คงเป็นเพลงที่คุ้นหู แต่เสียงที่ว่า กลับไม่ใช่เป็นเสียงรถไฟ แต่เป็นเสียงติ ที่กลายเป็นความคุ้นเคยสะท้อนมาตลอด 10 ปี ก่อนจะเปลี่ยนมือไปยังบริษัท รถไฟความเร็วสูงสายตะวันออกเชื่อมสนามบิน จำกัด คนกรุงเทพฯที่ต้องเดินทาง จากสุวรรณภูมิเข้าเมืองผ่านระบบราง อาจเคยได้ยินคำถามว่า “วันนี้แอร์พอร์ตลิงค์ เป็นอะไร?”
เป็นสิ่งที่คนกรุงเทพฯ บ่น ปนด่า มากขึ้นเรื่อยๆ กับการแก้ปัญหาแบบปะผุ ของโครงการระบบขนส่งทางรถไฟเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและสถานีขนส่งผู้โดยสารอากาศยานในเมือง หรือที่เรียกกันในชื่อ แอร์พอร์ต เรล ลิงค์ หรือ แอร์พอร์ตลิงค์ ทำให้ต้องย้อนดูตัวเลขผู้โดยสาร เมื่อเริ่มแรก รฟท. คาดว่าในปี 2563 จะมีผู้ใช้บริการ 1.8 แสนคนต่อวัน
แต่ปัจจุบัน ปี 2561 มีจำนวนผู้ใช้บริการเพียงประมาณ 7 หมื่นคนต่อวัน และมาถึงช่วงโควิด-19 จากข้อมูลของกรมการขนส่งทางรางช่วงระหว่างวันที่ 1-26 เมษายน 2564 ซึ่งมีการระบาดของ โควิด-19 ละลอกใหม่พบว่ามีผู้โดยสาร แอร์พอร์ตลิ้งก์ต่อเดือน เพียง 25,214 คน ซึ่งคิดเป็นเพียง 14% ของเป้าหมาย
กลายเป็นโจทย์ที่ท้าทายว่า จะปลุกชีพแอร์พอร์ตลิงค์อย่างไร กับปัญหาที่คาราคาซังอยู่หลายเรื่อง ทำให้ต้องมาย้อนดูกันว่า 10 เรื่องที่น่าสนใจของแอร์พอร์ตลิงค์ ที่ต้องบันทึกไว้ในความทรงจำ มีอะไรกันบ้าง
1.”รอนาน-ระบบรวน” ภาพไฟดับมืดในขบวนรถ มีเพียงแสงจากจอมือถือ รถหยุดเคลื่อน รอซ่อมอีก 20 นาที รถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์มีอยู่ 9 ขบวน ขบวนละ 3 ตู้ แต่ใช้งานจริงตอนนี้ 4 ขบวน ที่เหลืออยู่ระหว่างซ่อมบำรุง และเอาอะไหล่ขบวนหนึ่งมาใส่แทนอีกขบวนหนึ่ง ทำให้จำนวนรถไฟที่พร้อมให้บริการน้อยลงไปเรื่อยๆ รอนานขึ้นเรื่อยๆ จนเริ่มเป็นความคุ้นชินกับความไม่แน่นอน
2.กำเนิดเพจเฟซบุ๊ก “วันนี้แอร์พอร์ตลิงค์เป็นอะไร” ถือเป็นความน่ารักของผู้โดยสาร ที่มีนวัตกรรมการพึ่งพาตัวเอง การโพสต์ข้อความ เตือนกันเอง กรณีรถไฟมีปัญหา อย่างเช่น วันนี้แอร์พอร์ตลิงค์เป็นอะไร หรือ แอร์พอร์ตลิงค์ที่รัก คอยโพสต์แจ้งรายงานการใช้บริการแอร์พอร์ตลิงค์ เรียกว่าใครจะใช้บริการต้องตรวจสอบจากเพจถึงขั้นมีการตั้งรหัส รหัสแดง หมายถึงการโดยสารหนาแน่น ใครที่คิดจะมาใช้บริการ ควรหลีกเลี่ยง แต่ถ้ารหัสเขียว แสดงว่ารีบมาใช้ได้ เป็นต้น
3.กระบวนการซ่อม ที่ไม่คล่องตัว ใช่ว่าจะไม่อยากซ่อมแต่กระบวนการซ่อมทำยาก ปัญหามาจากการบริหารแอร์พอร์ตลิงค์ที่ไม่อิสระ ทำอะไรต้องให้บอร์ดการรถไฟฯเคาะ กว่าจะตัดสินใจแต่ละครั้ง พออนุมัติได้ต้องรอบริษัทซีเมนต์ของเยอรมันผลิตอะไหล่ทีละอย่าง ต้องรอ 6-8 เดือนเป็นอย่างน้อย ซื้ออะไหล่สำรองได้ไม่มาก เสียก็ซ่อม
4.”ขึ้นข้างบน-ลงข้างล่าง” วิธีการแก้ปัญหาความแออัดในช่วงเวลาเร่งด่วน แบบปัญหาต้นเหตุยังอยู่ แต่เป็นการแก้เฉพาะปลายทางที่ผู้โดยสารแออัด โดยใช้รถไฟดีเซลราง แบบดั้งเดิม ที่มีรางคู่ขนานอยู่ด้านล่าง เพิ่มเที่ยววิ่งแบ่งผู้โดยสารไปช่วงเร่งด่วน เช้า เย็น วันจันทร์ – ศุกร์ จากสถานีลาดกระบังไปสถานีหัวลำโพง
5.ผู้โดยสารต้องมีขาที่แข็งแรง เพราะไม่มีบันไดเลื่อนลงจากสถานี ยกเว้น สถานีมักกะสันและสถานีสุวรรณภูมิ ทำให้ต้องแบกกระเป๋าเดินทางลงมาอย่างทุลักทุเล ทั้งที่รถไฟฟ้าดังกล่าวเป็นรถไฟฟ้าเชื่อมต่อสนามบินสุวรรณภูมิ
6.ความสะดวกที่ไม่สบายของการโดยสาร ปิดประตูรถไฟฟ้าที่ดังจนเคยชิน ขณะที่เบาะที่นั่งแคบมาก นอกจากนี้ สถานีแอร์พอร์ตลิงค์มักกะสัน ร้อน อบมาก ลมไม่โกรกเลย แทบจะเป็นเตาอบ รอรถไฟทีเหงื่อโซกผู้โดยสารเดือดร้อน ทำไมเขาไม่แก้ไขให้มันระบายอากาศดีๆ ยิ่งในช่วงภาวะโรคระบาด ยิ่งควรลงทุนในการทำให้อากาศถ่ายเทให้สะดวก
7.การร้องเรียนเรื่องที่จอดรถไม่เพียงพอและมีอันตราย ยังคงมีมาตลอด เช่น มีการทุบรถ ขโมยรถ ซึ่งกรณีนี้ ที่ผ่านมาได้สั่งให้ รฟท. เพิ่มพื้นที่จอดรถบริเวณสถานีบ้านทับช้าง ลาดกระบัง และหัวหมาก เพิ่มจาก 100 คัน เป็น 200 คัน ส่วนเรื่องการเพิ่มระบบรักษาความปลอดภัยก็มีมาตลอด เพียงแต่ผู้โดยสารที่นำรถมาจอด ก็ยังต้องแอบลุ้นว่า รถจะยังปลอดภัยดีหรือไม่
8.ระบบตั๋ว ต้องการให้ปรับปรุงระบบจำหน่ายบัตรโดยสารด้วย เนื่องจากบางครั้งเมื่อพนักงานไม่อยู่ที่ช่องจำหน่ายบัตรโดยสาร ทำให้การแลกบัตรโดยสารกับตู้จำหน่ายอัตโนมัติทำได้ยาก ควรปรับปรุงให้ตู้รับธนบัตรชนิด 500 บาท และ 1,000 บาทได้ รวมถึงรองรับการชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ เช่น สแกนคิวอาร์โค้ด หรือจ่ายผ่านแอปพลิเคชั่นได้
9.สถานี และตัวรถ ไม่ได้ออกแบบมาสำหรับผู้พิการ และในอดีตที่ผ่านมาพื้นที่ระหว่างผู้โดยสารกับรางรถไฟฟ้าทั้งสองฝั่ง ไม่มีประตูกั้น แต่มีเพียงเส้นสีเหลือง เป็นสัญลักษณ์บ่งชี้ว่าเป็นพื้นที่อันตราย
10.การที่ไม่เชื่อมต่อในโครงข่ายระบบขนส่งสาธารณะระบบราง เพราะยังไม่เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าทั้งใต้ดินและบนดิน ทั้งนี้เกิดจากการออกแบบ โครงสร้างรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงค์ เป็นโครงสร้างลอยฟ้า รวมถึงสถานีแต่ละสถานีอยู่ห่างจากถนนหลัก ในการใช้บริการผู้โดยสารจึงต้องแบกสัมภาระหรือเดินออกมาต่อรถโดยสารที่ไกลเกินความจำเป็น
และทั้งหมดนี้คือ 10 ความทรงจำ ที่คงได้แต่หวังว่า เมื่อเปลี่ยนมือไปสู่ผู้ประกอบการรายใหม่แล้ว จะสามารถเทียบก่อนและหลัง เพื่อเห็นความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น เพราะสุดท้ายแล้ว แอร์พอร์ตลิงค์ ก็ยังถือได้ว่าเป็นเส้นเลือดสำคัญ ในการเดินทางของคนกรุงเทพฯ