คนรับใช้ผู้ซื่อสัตย์

หลอน
นทธี ศศิวิมล

ตั้งแต่เกิดมาผมก็เห็นน้าพิศแล้ว ย่าเคยเล่าว่าแม่ของน้าพิศเคยทำงานรับใช้บ้านปู่กับย่ามาก่อน ถึงวันหนึ่งก็ลาออกไปแต่งงานมีครอบครัว แล้วผ่านไปสิบกว่าปีก็เอาน้าพิศมาฝากให้ช่วยทำงานบ้านด้วย ตอนที่น้าพิศมาอายุมากกว่าแม่ปีเดียว ย่าจึงให้ช่วยงานบ้านและเสมือนเพื่อนแม่ไปในตัว น้าพิศกับแม่จึงเติบโตมาพร้อมๆ กัน

น้าพิศเป็นคนเงียบๆ ทำงานครัวเก่ง ครอบครัวผมถือเสมือนน้าพิศเป็นคนในครอบครัว น้าพิศไม่มีครอบครัว นานๆ กลับไปเยี่ยมพ่อแม่ที่สกลนครสักครั้ง น้าเป็นคนไม่แต่งตัว มีอะไรก็ใส่อย่างนั้น ไม่ทาหน้าไม่ทาปาก ไม่ชอบดูโทรทัศน์หรือฟังวิทยุ เห็นอ่านแต่หนังสือพิมพ์ข่าวสดที่บ้านผมรับประจำทุกวัน ที่น้าพิศอ่านหนังสือออกก็เพราะไปเรียนกศน.จนจบมัธยมสาม อาศัยเวลาตอนกลางคืน

วันหนึ่งตอนเรียนมัธยมฯ น้าพิศล้มป่วยกะทันหันทำให้รู้ว่าน้าแกเป็นโรคหัวใจ ต่อจากนั้นน้าพิศกินยาประจำและไม่เคยแสดงอาการอีกเลย จนเราลืมไปแล้วว่าแกเป็นโรคหัวใจ

จนกระทั่งผมกับน้องชายอีกสองคนเรียนจบระดับอุดมศึกษา ผมทำงานอยู่อังกฤษ น้องชายคนรองจากผมเรียนต่อปริญญาเอกที่อเมริกา อีกคนก็ต่อปริญญาโทที่เยอรมัน ที่บ้านจึงมีเพียงพ่อแม่และน้าพิศ

ทุกวันนี้พ่อแม่ใกล้เกษียณด้วยกันทั้งคู่ น้าพิศก็ยังขยันเข้าครัว พวกผมสามพี่น้องต่างเติบโตมีวิถีทางของตัวเอง น้องชายถัดจากผมกำลังเข้าพิธีรับปริญญาที่อเมริกา พ่อกับแม่เดินทางไปร่วมพิธีด้วย ผมกับน้องอีกคนไม่ได้ไปร่วมงาน ผมตั้งใจเซอร์ไพรส์น้องด้วยการกลับมาเมืองไทยก่อนอย่างเงียบๆ

ผมแอบติดต่อน้าพิศอย่างลับๆ ทางโทรศัพท์ก่อนวันเดินทางกลับ เพราะพ่อกับแม่จะเดินทางไปอเมริกาวันที่ผมเดินทางกลับพอดี จึงต้องนัดแนะการเข้าบ้านให้ไม่ตรงกับพ่อแม่ออก

ผมตั้งใจพักที่โรงแรมก่อน เพราะมา ทราบจากน้าพิศว่าพ่อแม่หาตั๋วออกเดินทางก่อนผมกลับไม่ได้ ผมเองไม่ได้กลับเมืองไทยสิบกว่าปี จึงเพลิดเพลินกับความเปลี่ยนแปลงของบ้านเมืองไปหลายชั่วโมง ใช้วิธีฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรม แล้วออกมาเรียกแท็กซี่ไปลงนั่นนี่หลายที่

จู่ๆ ผมก็โทร.หาน้าพิศไม่ได้ เที่ยวบินของพ่อแม่ต้องขึ้นก่อน 20.45 น. ตอนที่ตัดสินใจเข้าบ้านก็สามทุ่มเข้าไปแล้ว กว่าจะกลับไปโรงแรม เช็กเอาต์ ลากกระเป๋ามาเรียกแท็กซี่และอยู่บนถนนอีก ถึงบ้านก็ปาเข้าไปตีหนึ่งใกล้ตีสอง

ตอนนั้นที่บ้านเปิดไฟสว่างทิ้งไว้ตามมุมต่างๆ ของบ้านมากมายผิดสังเกต ผมกดออดเรียกน้าพิศก็แล้ว ก็ยังไม่เจอตัวแก นึกได้ถึงกุญแจรั้วที่พ่อชอบซ่อนไว้ใต้กระถางต้นไม้ริมรั้วกระถางที่สอง จึงก้มลงจนเสื้อเลอะดิน คว้ากุญแจมาไขเข้าบ้านได้และเช่นเคย

เห็นน้าพิศล้มนอนอยู่กลางบ้าน ผมตกใจมาก ถลาไปหาน้าพิศแล้วประคองให้นั่ง น้าแกได้สติแล้วรีบบอกว่าไม่เป็นไรๆ ก่อนจะเฝ้าแต่ถามว่าผมสบายดีไหม ลูบเนื้อลูบตัวผมพลางร้องไห้บอกว่าคิดถึงๆ จากนั้นก็ถามถึงน้องชายผมสองคนอยู่นั่น

เรานั่งคุยสารทุกข์สุกดิบกันอยู่นาน น้าขอตัวเข้าห้องน้ำ ผมแอบโทร.หาแม่ตั้งใจถามเรื่องการเดินทางแล้วบอกว่าผมกลับถึงบ้านแล้วให้เซอร์ไพรส์ ซึ่งก็ เซอร์ไพรส์จริงๆ พ่อถึงกับแย่งพูดกับผมก่อนส่งคืนให้แม่ ตอนหนึ่งที่ผมบอกว่า “น้าพิศแกซูบไปนะ”

“อะไรนะ ลูกพูดว่าอะไร”

“น้าพิศไง แกดูซูบไปเยอะ”

“ลูกเจอน้าพิศเหรอ” น้ำเสียงแม่แปลกใจมากจนเหมือนตกใจ

“เจอ เจอที่ไหน?”

“ที่บ้านเราไง ตอนแรกผมตกใจ น้าพิศล้มนอนอยู่กลางบ้าน แต่พอผมเข้าไป น้าก็รีบลุกขึ้นมาเหมือนไม่มีอะไร”

“ตอนนี้น้าอยู่ไหน” แม่ถามด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด

“เห็นบอกเข้าห้องน้ำ”

แม่นิ่งไปนาน ก่อนจะวางสายไป

ผมหาน้าพิศไม่เจอในบ้าน ไม่รู้แกไปไหน ระหว่างออกไปเดินดูนอกบ้าน แม่ก็โทร.เข้ามาแล้วถามว่า ถ้ากลัวก็ออกจากบ้านก่อน แล้วแม่จะเล่าอะไรให้ฟัง ผมถามกลัวอะไร แม่ย้ำอีกว่ากลัวไหม ผมตอบไปว่าไม่กลัวแม่ อย่างหนักแน่น แม่จึงถอนใจ ผมได้ยินเสียงถอนใจแม่แรงมาก

“ฟังให้ดีนะ น้าพิศเสียแล้ว เมื่อสองอาทิตย์ก่อน น้าพิศย้ำหนักแน่นไม่ให้บอกลูกทั้งสามคน แกอยากให้งานฉลองของลูกๆ ผ่านไปก่อน แม่สงสารมากและที่ลูกเห็นแกล้มนอนกลางบ้านน่ะ วันที่น้าแกเสียก็ล้มนอนกลางบ้านอย่างนั้นแหละ แม่เป็นคนไปประคองแกให้ลุกนั่งเอง แกคงอยากแสดงให้ลูกดู เฮ้อ พิศเอ๋ย พิศ ตายไปแล้วยังห่วงพวกเราอีก” น้ำเสียงแม่สะอื้น

สำหรับผม ผมมองไปยังห้องน้ำ เห็นน้าพิศยืนอยู่หน้าห้องน้ำแล้วโบกมือลา ก่อนจะวับหายไป

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน