เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) โพสต์แสดงความเห็นผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ตั้งประเด็น “บริหารความเสี่ยงคือหัวใจ” มีเนื้อหาระบุว่า สภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว แต่เงินเฟ้อพุ่งที่เรียกกันว่า stagflation ซึ่งอาจจะเกิดรอบนี้ มีสาเหตุต่างจากที่เคยเกิดขึ้นช่วง 40 กว่าปีก่อน และต้องรับมือด้วยวิธีการต่างกัน

ศ.ดร.นฤมล ชี้ว่า เมื่อ 40 กว่าปีก่อน ทั่วโลกเกิดสภาพ stagflation ธนาคารกลางต่างแก้ไขโดยเลือกวิธีขึ้นดอกเบี้ยสูงมากเพื่อสกัดเงินเฟ้อ แต่ส่งผลให้ธุรกิจเสียหายมาก จนนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยและวิกฤตการเงิน แต่รอบนี้ สภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวพร้อมกับเงินเฟ้อที่เกิดต่อเนื่องจากการระบาดของเชื้อโควิด-19 เกิดจาก 3 ปัจจัยสำคัญ คือ (1) แพ็คเกจอัดฉีดกระตุ้นเศรษฐกิจของหลายประเทศที่ไปเน้นการเพิ่มดีมานหรือความต้องการซื้อในตลาด แต่อาจทำอย่างไม่เหมาะสม, (2) ในขณะที่ฟากฝั่งซัพพลายเผชิญข้อจำกัดในการผลิต ขาดวัตถุดิบในห่วงโซ่อุปทาน และขาดแรงงานจากผลของการล็อกดาวน์ช่วงโควิด, (3) แล้วเคราะห์ซ้ำมาเกิดสงครามรัสเซียกับยูเครนอีก

ศ.ดร.นฤมล ระบุต่อไปว่า การมาพบกันโดยมิได้นัดหมายของทั้งสามเหตุ จึงไปดันราคาต้นทุนให้สูงขึ้น การใช้นโยบายทางการเงินด้วยการขึ้นดอกเบี้ยอย่างเดียวจะไม่สามารถแก้ปัญหาที่สาเหตุ การบริหารความเสี่ยงด้วยความเข้าใจเป็นหัวใจสำคัญ คำถามว่าเกิด stagflation หรือยังนั้นไม่สำคัญ ที่สำคัญคือถ้าเกิดสภาพ stagflation ครั้งนี้ มีนโยบายรับมือหรือไม่ และต่างไปจากที่เคยเกิดขึ้นอย่างไร มองในภาพใหญ่ การบริหารนโยบายการคลังและนโยบายเศรษฐกิจที่ควรเข้าใจ คือการอัดฉีดเงินเพื่อกระตุ้นดีมานไม่ต้องทำมากเหมือนสองปีที่ผ่านมาแล้ว ค่อยๆ ให้ดีมานกลับเข้าใกล้ภาวะปกติมีผลดีมากกว่า ดังนั้น การกู้เงินมาแจกในโครงการกระตุ้นกำลังซื้อจึงไม่เหมาะสมในช่วงนี้ นอกจากนั้น ต้องหันมาให้ความสำคัญกับฝั่งซัพพลาย ดูแลอุตสาหกรรมการผลิตตลอดห่วงโซ่อุปทาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าอุปโภคบริโภคและพลังงาน และต้องให้มั่นใจได้ว่าฝั่งซัพพลายจะไม่หยุดชะงักติดคอขวด ไม่ว่าด้วยเหตุใดก็ตาม

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน