วันที่ 15 มี.ค. สถานีโทรทัศน์ช่อง 5 ของรัสเซียรายงานความคืบหน้ากรณีคลิปนักร้องสาวรัสเซีย ยูเลีย เบิร์ก สำเร็จความใคร่ให้ ดมีตรี โตริน ศิลปินเพลงหนุ่มรัสเซีย ภายในงานแฟชั่นโชว์ “เมอร์เซเดส แฟชั่น วีก” ที่กรุงมอสโก เมืองหลวงของรัสเซีย เมื่อวันที่ 14 มี.ค.
ล่าสุด ยูเลีย เบิร์ก ให้สัมภาษณ์กับช่อง 5 ของรัสเซียว่า ไม่ได้สำเร็จความใคร่ให้เพื่อนหนุ่มของตัวเอง โดยคลิปที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ข่าวบันเทิง Super.ru นั้นเป็นการ “ตัดต่อ” และ “โกหกอย่างแจ่มแจ้ง”
“ดิฉันรู้สึกสะเทือนใจ เมื่อถูกกระแสข่าวสกปรกถาโถมเข้ามา ดิฉันงงไปหมด เพราะว่าทุกคนรู้ดีว่า อาจเป็นการตัดต่อ ใช่ค่ะ เราสองคนจูบ และดิฉันลูบขาเพื่อนหนุ่ม ไม่คิดว่าจะเป็นความผิดมหันต์ขนาดนี้
ดิฉันบอกไปหลายครั้งแล้วว่า ที่มีการพูดว่า สำเร็จความใคร่หรืออื่นๆ เป็นการหลอกลวง ไม่ใช่ความจริงเช่นนั้น บอกตามตรงว่า ดิฉันกังวล หวังว่าเราจะจบเรื่องนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้” ยูเลีย เบิร์ก เปิดใจ
ช่อง 5 ของรัสเซียยังเผยแพร่อีกคลิปสัมภาษณ์ของ ยูเลีย เบิร์ก ที่กล่าวทั้งน้ำตาว่า ดมีตรี โตชิน ไม่ยอมเข้าข้างเธอ ตั้งแต่มีข่าวฉาวมา เธออยูในภาวะแทบเป็นอาการประสาท และผู้ใช้โซเชี่ยลมีเดียบางคนใช้ถ้อยคำดูหมิ่นเกลียดชังกับเธอด้วย
“(พวกเขา) สาปแช่งดิฉันและครอบครัวทั้งตระกูล สาปแช่งให้ให้ลูกตาย ทั้งที่ดิฉันยังไม่มีลูก ความเกลียดชังช่างมากมายเหลือเกิน!” ยูเลีย เบิร์ก กล่าวทั้งน้ำตา
ด้านเว็บไซต์ไลฟ์ของรัสเซียรายงานว่า ยูเรีย เบิร์ก ยื่นจดหมายไปหาผู้สื่อข่าว Super.ru ขอให้ลบคลิปวิดีโอที่ครหาว่า เธอและดมีตรี โตชิน สำเร็จความใคร่ ขณะโชว์ผลงานคอลเล็กชั่นของดีไซเนอร์ชาวรัสเซีย เบลลา โปทอมคีนา
คลิปดังกล่าวทำให้ ยูเรีย เบิร์ก ถูกโจมตีทั้งแฟนคลับผู้ติดตามและสังคมออนไลน์เป็นจำนวนมาก จนยูเรีย เบิร์ก ทนไม่ไหวต้องอัดคลิปวิดีโอชี้แจงเรื่องดังกล่าวว่า
“อย่าไปเชื่อข่าวลือพวกนั้นเลยค่ะ ขอร้องนะคะ… ดิฉันอัดคลิปในอินสตาแกรมพร้อมติดแฮชแท็ก #дрочанебыло (#ไม่ได้สำเร็จความใคร่) เว็บไซต์ข่าว Super กำลังเผยแพร่เรื่องราวโกหกและหมิ่นประมาทอย่างแจ่มแจ้ง ดิสเครดิตทั้งเกียรติยศ ศักดิ์ศรี และชื่อเสียงทางธุรกิจของดิฉันค่ะ”
“ดิฉัน ยูเลีย เบิร์ก ขอเรียกร้องให้สื่อมวลชนทุกสำนักลบรายงานข้อมูลเท็จที่ว่า ดิฉันกับดมีตรี โตริน สำเร็จความใคร่ในงานแฟชั่นโชว์ “เมอร์เซเดส แฟชั่น วีก” ในช่วงโชว์ผลงานคอลเล็กชั่นของดีไซเนอร์ชาวรัสเซีย เบลลา โปทอมคีนา”
