หลวงปู่ทองสุข สัญญโม – วันพฤหัสบดีที่ 10 ก.ย.2563 น้อมรำลึกครบรอบ 86 ปี ชาตกาล “พระครูรัตนสราภิวัฒน์” หรือ “หลวงปู่ทองสุข สัญญโม” อดีตเจ้าอาวาสวัดสระแก้ว และอดีตเจ้าคณะตำบลโพนงาม อ.โกสุมพิสัย จ.มหาสารคาม เป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีวัตรปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ อุทิศตนรับใช้พระพุทธศาสนา

เกิดในสกุล ตางา เมื่อวันที่ 10 ก.ย.2477 ที่บ้านเหล่าน้อย ต.เหล่าน้อย อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด

หลังจบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ลาออกจากการเรียน ช่วยงานครอบครัวทำมาหากิน

จนกระทั่งเติบโตเป็นหนุ่มใหญ่อายุย่าง 31 ปี เข้าพิธีอุปสมบท ที่พัทธสีมาวัดจันทรังษี ต.เหล่าน้อย อ.อาจสามารถ จ.ร้อยเอ็ด โดยมีพระครูวิเศษเสลคุณ วัดศรีทองนพคุณ อ.เสลภูมิ เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอธิการอ้วน ฐิติญาโณ วัดท่าลาด อ.เสลภูมิ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอธิการประภา ปภากโร เป็นพระอนุสาวนาจารย์

จากนั้นไปจำพรรษาปฏิบัติศาสนกิจอยู่ที่วัดบ้านเหล่าน้อย มุมานะศึกษาพระธรรมวินัย ด้วยความขยันขันแข็งสามารถสอบได้นักธรรมชั้นตรี-โท-เอก ตามลำดับ จากสำนักเรียนวัดเหนือคณะจังหวัดร้อยเอ็ด

ต่อมาครอบครัวอพยพมาที่ตำบลหนองบัว อ.โกสุมพิสัย จ.มหาสารคาม จึงต้องเดินทางมาอยู่จำพรรษาที่วัดสระแก้ว บ้านดอนน้อย ต.โพนงาม อ.โกสุมพิสัย ท่านจำพรรษาปฏิบัติศาสนกิจอยู่ที่วัดแห่งนี้ตราบจนวาระสุดท้าย

ในปี พ.ศ.2520 จึงได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองเจ้าคณะตำบลหนองบัว และเมื่อตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสระแก้ว ว่างลงจึงได้รับความไว้วางใจจากคณะสงฆ์ให้ขึ้นดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส

พ.ศ.2526 ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะตำบลโพนงาม อ.โกสุมพิสัย พ.ศ.2527 เป็นพระอุปัชฌาย์

ลำดับสมณศักดิ์ พ.ศ.2530 ได้รับพระราชทานตั้งสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรเจ้าคณะตำบลชั้นตรีในราชทินนามที่ พระครูรัตนสราภิวัฒน์ พ.ศ.2548 เป็นพระครูสัญญาบัตรเจ้าคณะตำบลชั้นเอกในราชทินนามเดิม

เป็นผู้สนใจศึกษาวิทยาคมมาตั้งแต่สมัยยังเป็นฆราวาส เมื่อเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ ทำให้มีชื่อเสียงในฐานะพระเกจิชื่อดัง เป็นที่เคารพศรัทธาของพุทธศาสนิกชนในพื้นที่อย่างรวดเร็ว

ตลอดเวลาที่ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะตำบลโพนงาม ปฏิบัติหน้าที่ปกครองอย่างเคร่งครัด เป็นแบบอย่างให้วัดในปกครองปฏิบัติตาม รวมทั้งออกเผยแผ่หลักธรรมทางพุทธศาสนาอย่างสม่ำเสมอ ไม่รู้เหน็ดเหนื่อย

สำหรับหลักธรรมที่พร่ำสอนญาติโยมมาโดยตลอด เป็นเรื่องของการรักษาศีล 5 และดำรงชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาท ถึงแม้การเกิด แก่ เจ็บ ตาย สัตว์โลกไม่สามารถหลีกพ้นได้ แต่การไม่ประมาทสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างเป็นสุข

ล่วงเข้าปัจฉิมวัยด้วยความไม่เที่ยงของสังขารจึงอาพาธเรื้อรังด้วยโรคมะเร็งในท่อน้ำดี แต่ยังฝืนรับงานนิมนต์อย่างไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย บางครั้งอาการกำเริบหนักก็ยังฝืนสังขารไปตามกิจนิมนต์ที่รับไว้

สุดท้ายมรณภาพอย่างสงบ เมื่อปี พ.ศ.2551 สิริอายุ 73 ปี พรรษา 42

โดย เชิด ขันตี ณ พล

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน