วิเคราะห์การเมือง
หากมองผ่านบทบาทและการเคลื่อนไหวของ พระเผด็จ ทัตตชีโว รองเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายเหมือนกับสะท้อนให้เห็นถึง “มิติ” ใหม่
เป็นมิติที่ยอมรับต่อ “ข้อกล่าวหา” ที่เกิดขึ้น
เห็นได้จากการเดินทางไปยอมรับข้อกล่าวหาว่าขัดคำสั่งหัวหน้าคสช.ฉบับที่ 5/2560 ที่สำนักอัยการ ศาลจังหวัดธัญบุรี
เห็นได้จากการเดินทางไปยัง “บก.ปทส.”
เท่ากับเป็นการยอมรับต่อข้อกล่าวหาอันมาจากกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ปทส.)
เป็นการเดินทางไปในฐานะตัวแทน “วัด” ตัวแทน “มูลนิธิ”
ความหมายก็หมายความว่า นับแต่สถานการณ์เมื่อวันที่ 10 มีนาคม เป็นต้นมา ทางด้านวัดพระธรรมกายยอมรับต่อทุกกระบวนท่าอันมาจากกลไกแห่งอำนาจรัฐ
มิได้วางตนเป็นเหมือนกับ “รัฐอิสระ”
ท่าทีอันสะท้อน “มิติ” ใหม่ของวัดพระธรรมกายเช่นนี้มิได้มีแต่ในเรื่องข้อกล่าวหาในเรื่องรุกป่า และในเรื่องขัดต่อคำสั่งของคสช.
หากแม้กระทั่งในเรื่องของ “การปกครอง” ก็ไม่แข็งขืน
เห็นได้จากเมื่อทาง “ดีเอสไอ” กำหนดให้มีการจัดระเบียบใหม่ภายในวัดผ่านมาทางเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี ทางวัดก็ปฏิบัติตามอย่างครบถ้วน
ไม่มีการเคลื่อนไหวทางการเมือง มีแต่เรื่องของ “ศาสนกิจ”
ภาพอันเคยปรากฏที่ตลาดกลาง คลองหลวง ไม่มีอีกแล้ว เมื่อมีการส่งเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ตำรวจ และทหารเข้าไป ไม่เพียงแต่ไม่ขัดขืน คัดค้าน หากแต่ยังเชิญชวนดีเอสไอ ตำรวจและทหารร่วมสวดธัมมจักกัปปวัตนสูตรเจื้อยแจ้ว
เมื่อปรากฏออกสู่สังคมจึงเป็นภาพอันงดงาม สดสวย
ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า วัดพระธรรมกายกับพระสังฆาธิการปกครองในพื้นที่ไม่มีปัญหา ไม่มีข้อขัดข้องกันเลยแม้แต่น้อย
ยอมรับต่ออำนาจของ “เจ้าคณะ”
ไม่ว่าจะมาจากเจ้าคณะจังหวัด ไม่ว่าจะมาจากเจ้าคณะอำเภอ ไม่ว่าจะมาจากเจ้าคณะตำบล ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น
นี่เป็นเรื่องที่ “พระ” ปฏิบัติต่อ “พระ” ด้วยกัน
จากนี้ทางด้านวัดพระธรรมกายก็จะได้มีเวลาต่อสู้ต่อข้อกล่าวหาในเรื่องคดีความซึ่งมีอยู่มากกว่า 300 คดี
ทุกอย่างเท่ากับเป็นการพิสูจน์ทราบกันผ่าน “ศาล”
ถามว่าท่วงทำนองของวัดพระธรรมกายโดย พระเผด็จ ทัตตชีโว เป็นตัวแทนสร้างความรู้สึกอย่างไร
คำตอบจากพระสังฆาธิการในจังหวัด ไม่ว่าจะจากเจ้าคณะจังหวัด ไม่ว่าจะจากเจ้าคณะอำเภอ ไม่ว่าจะจากเจ้าคณะตำบล พอใจอย่างแน่นอน
แต่ด้านอื่น ฝ่ายอื่นพอใจหรือไม่ ยังน่าสงสัยอยู่