วงค์ ตาวัน
ไม่ต้องไปวิเคราะห์หรือให้น้ำหนักใดๆ เลย กับข่าวที่มีการเสนอให้ใช้ม.44 ปลดผบ.ตร. เนื่องจากกรณีคอมมานโดกองปราบฯ บุกจับนายสุวิทย์ถึงในกุฏิวัด อ้อน้อย ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้เลยแม้แต่น้อยนิด ที่จะมีการย้ายตำรวจใหญ่ด้วยเหตุเรื่องนี้
แถมบอกได้ด้วยซ้ำว่า ปฏิบัติการของตำรวจในภารกิจนี้
ไม่ว่าจะเป็นพล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ไม่ว่าจะเป็นพล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ไม่ว่าจะเป็น ผู้การกองปราบฯ และทีมคอมมานโด ทำอย่างถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์แน่นอน
ไม่มีอะไรให้ฝ่ายตำรวจต้องหวั่นไหวเลย
คิดง่ายๆ ในเมื่อยุคนี้เป็นยุครัฐบาลทหารที่มาจากการรัฐประหาร และเป็นการรัฐประหารที่ปูทางด้วยการชัตดาวน์ ของม็อบนกหวีด โดยอดีตพระสุวิทย์ก็เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงที่สำคัญอย่างมากในการเปิดทางให้รถถัง
ดังนั้น ถ้าคดีนี้ไม่มีพยานหลักฐานชัดแจ้ง ไม่ผ่านการประเมินเหตุผลอย่างรอบคอบรอบด้านแล้ว
ไม่มีทางที่ตำรวจจะดำเนินคดีอย่างมั่วๆ กับหัวหน้าม็อบที่ร่วมเปิดประตูทำเนียบให้คสช.แน่ๆ
เพียงแต่ท่าทีของผู้นำรัฐบาล ที่ต้องเอ่ยขอโทษอดีต พระสุวิทย์นั้น เป็นปัญหาส่วนตัวที่จำเป็นต้องแสดงท่าที เช่นนั้น
แล้วลงเอยก็สร้างปัญหาให้กับเหล่าผู้นำรัฐบาลเองไปในที่สุด ถูกวิพากษ์วิจารณ์จนหูอื้อ
มีอะไรต่อมิอะไรมากมายตามมา ที่จะต้องออกมาตอบโต้ชี้แจงพัลวัน
ดังนั้นตำรวจก็ทำคดีตามหน้าที่ของตัวเองไป ไม่มีอะไรต้องหวั่นไหว!!
อย่างที่บอกเอาไว้ การดำเนินคดีกับอดีตพระสุวิทย์ 2 ข้อหา
เป็นคดีตัวอย่าง ที่สามารถอธิบายภาพรวมของปัญหา วงการพระที่ผ่านมาได้อย่างชัดเจน
ข้อหาปลอมและใช้พระปรมาภิไธยปลอม ไว้ด้านหลังพระที่จัดสร้างขึ้น เป็นการเตือนสติแวดวงสงฆ์เรื่องการ ทำมาหากินและการแอบอ้างเบื้องสูง
อีกข้อหาคือ อั้งยี่ซ่องโจร อันเป็นพฤติกรรมในช่วงการชุมนุมทางการเมือง ซึ่งอดีตพระสุวิทย์โดดเข้ามาเป็นแกนนำม็อบเอง ถือว.สั่งการ ปิดสถานที่ราชการ ปิดถนน
ใครแตะกรวยเป็นโดนยิง!
ที่กลายเป็นข้อหา เพราะเหล่าการ์ดของอดีตพระสุวิทย์ ทำร้ายและปล้นทรัพย์ตำรวจสันติบาล
นี่คือข้อหาเพื่อเตือนสติว่า อย่าได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวทางการเมือง นั่นไม่ใช่กิจของสงฆ์
แถมไม่ยึดหลักศาสนา ไม่มีความเมตตา ไม่มีหลักสันติเลยแม้แต่น้อย
ในสายตาประชาชนวงกว้าง ล้วนรับไม่ได้กับความรุนแรงที่แจ้งวัฒนะเมื่อ 4 ปีที่แล้ว
จึงเห็นว่าตำรวจทำหน้าที่ได้ถูกต้องตรงไปตรงมาที่สุดแล้วในคดีนี้ในวันนี้!