คอลัมน์ ชกไม่มีมุม
วงค์ ตาวัน
ไม่ว่า จะมีการโหมประโคมกระแสความเลวร้ายของนักการเมืองและพรรคการเมืองอย่างหนักหน่วงเพียงใด แต่สุดท้ายการเมืองไทยในปีหน้า ก็ต้องเข้าสู่ระบบที่ต้องให้นักการเมืองและพรรคการเมือง ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของประชาชนทั้งประเทศ ในสภาและในรัฐบาล
เพราะนักการเมืองและพรรคการเมืองเท่านั้น ที่จะเชื่อมโยงกับประชาชนได้ เป็นตัวแทนของประชาชนได้
รัฐบาลแบบคสช.หรือ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ-สนช. ในวันนี้หรือ ที่จะเป็นตัวแทนของประชาชน
จะเป็นได้อย่างไร ในเมื่อไม่มีอะไรที่จะเชื่อมโยงกันได้เลย
ที่สำคัญรัฐบาลที่มาจากอำนาจพิเศษ หรือสภาที่มาจากการแต่งตั้งโดยคนกลุ่มเดียว แทบไม่มีระบบรับฟังเสียงประชาชนเลยแม้แต่น้อย
แทบจะแสดงความเห็นอะไรไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เพราะขัดแย้งกับอำนาจที่เน้นความมั่นคง!
แล้ววันนี้ คนที่มาจากอำนาจพิเศษ มาจากการแต่งตั้งโดยคนกลุ่มเดียว ได้ร่างกฎกติกา ที่กำลังทำให้ผู้แทนของประชาชนที่จะเข้ามาในสภาหลังเลือกตั้งหนต่อไป คิดหรือทำอะไรไม่ได้เลย
ในห้วงระยะนี้ บรรดาพรรคการเมืองต่างๆ กำลังตอบโต้กับคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญอย่างหนัก ในเรื่องกฎหมายลูก
ฝ่ายกรธ.แย้งกลับว่า ถ้าไม่ยอมรับการปฏิรูป การเปลี่ยนแปลง แล้วประเทศจะพัฒนาได้อย่างไร
ฟังแล้วได้แต่สงสัยว่า การพัฒนานั้นคือการก้าวไปข้างหน้า
แต่ที่ทำกันอยู่นี้ คือการฉุดการเมืองไทยให้ถอยหลัง ตามแนวคิดของกลุ่มอนุรักษนิยมทางการเมือง
ถอยหลังประชาธิปไตย จนทั่วทั้งโลกเขาแทบไม่คบค้า!
เขียนกฎกติกา ที่เรียกว่าปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง คือทำทุกอย่างให้การเมืองในวันข้างหน้า ถูกควบคุมทุกด้าน
เพื่อให้ระบบนักการเมืองและพรรคการเมือง ไม่สามารถมีอำนาจได้มากมายนัก เมื่อหลายปีที่ผ่านมา
ด้วยเหตุผลว่า เพื่อไม่ให้การเมืองชั่วร้ายคดโกงได้ครองเมืองอีก ถึงกับสถาปนาว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกง
แต่หัวใจของรัฐธรรมนูญและกฎกติกาต่างๆ คือ กดหัวพรรคการเมืองและนักการเมือง
นั่นแปลว่า ประชาชนส่วนใหญ่เอง ซึ่งมีช่องทางใช้อำนาจคือ ผ่านผู้แทนราษฎร ก็แทบจะไม่มีอำนาจไปเป็นเงาตามตัว!
ในเมื่อหัวใจของประชาธิปไตยคือ อำนาจเป็นของประชาชนคนส่วนใหญ่
ดังนั้น ทั้งหมดนี้ จะเป็นประชาธิปไตยได้อย่างไร
แล้วกรธ.มักอ้างเสมอว่า กำลังทำเพื่อประชาชนส่วนใหญ่ ไม่ใช่ทำเพื่อนักการเมืองแค่ 5 พันคน
แต่ประชาชนของกรธ.นั้นคือใคร เชื่อมโยงได้อย่างไร ยังมองไม่ออก
เห็นแต่ประชาชนที่กรธ.เชื่อฟังมีอยู่รายเดียว ชื่อ”คุณสมชาย”!
