“วงค์ ตาวัน”

เมื่อพูดถึงคดีคนร้ายชิงทรัพย์ในธนาคาร ร้านทอง ที่กำลังมาแรง จนพล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ต้องสั่งด่วนให้กองบัญชาการตำรวจนครบาล จัดทำแผนเผชิญเหตุ

เช่น การตั้งจุดสกัดจับในทันทีที่มีเหตุ และความพร้อมของผกก.ทุกสน.ตลอด 24 ชั่วโมง เรียกว.ต้องตอบรับ

อีกส่วนหนึ่งฝ่ายสืบสวนของนครบาล ยังวิเคราะห์ด้วยว่า การลงมือกับธนาคารที่ตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้า ซึ่งเกิดต่อเนื่องหลายราย

อันนี้เข้าตำราอาชญากรรมเลียนแบบ

พอเห็นคนร้ายก่อเหตุรายหนึ่ง ก็จะมีคนคิด ก่อเหตุตามเป็นแฟชั่น!

ยิ่งสภาพเศรษฐกิจฝืดเคือง เพราะการเมืองไทยเรา ล้าหลัง ไม่อยู่ในสภาพปกติที่สากลยอมรับ ส่งผล กระทบเรื่องปากท้องอย่างนี้

โอกาสจะเกิดเหตุปล้นจี้ชิงทรัพย์มีสูงมาก

ยิ่งกับธนาคารในห้าง ถือเป็นเป้าหมายที่ตำรวจ สั่งด่วนให้เร่งระวังป้องกัน รวมถึงร้านทองภายในห้างต่างๆ ด้วย

ความที่ธนาคารที่ตั้งอยู่ในอาคารปกติ และร้านทองในตึกแถวทั่วไป มักจะมีการรปภ.อย่างเข้มข้น

หรือคนร้ายไปป้วนเปี้ยนสังเกตการณ์เพื่อวางแผนก่อน ก็พอจะสังเกตเห็นได้

แต่ภายในห้าง ส่วนใหญ่เป็นสาขาย่อย พนักงานมีน้อย การรปภ.ไม่มี

ขณะที่คนเดินเที่ยวห้างมีพลุกพล่าน มองไม่ออกใครเป็นใคร เมื่อคนร้ายก่อเหตุ ก็วิ่งหนีไปปะปนกับฝูงชนได้กลมกลืน

เหล่านี้คือจุดอ่อน และทำให้ธนาคาร ร้านทอง ที่เปิดในห้าง ตกเป็นเป้าชิงทรัพย์บ่อยๆ!

แต่ในทางกลับกัน รายที่ก่อเหตุก่อนหน้านี้และ ถูกตามจับได้ ก็เป็นตัวอย่างให้เห็นได้ว่า จุดแข็งของห้างต่างๆ ก็มีอยู่ โดยเฉพาะกล้องวงจรปิด

มีครบทุกมุม จนตำรวจนักสืบแกะรอยได้ ก่อเหตุแล้วหนีไปทางไหน ด้วยพาหนะอะไร สุดท้ายตำรวจเขาก็ตามไปถึงบ้านถึงตัวได้ในที่สุด

ยุคนี้กล้องวงจรปิด มีทั่วทุกถนน ทุกสี่แยก ยากจะหนีรอดพ้นได้!

ส่วนหนึ่งเมื่อตำรวจเข้มแข็ง การสืบจับมีประสิทธิภาพ จะช่วยหยุดการก่อเหตุต่างๆ ได้

แต่แก้ปลายเหตุไม่เพียงพอ ต้องแก้ที่ต้นเหตุด้วย

ไม่ว่าจะสภาพสังคม สภาพครอบครัว แต่เร่งด่วนสุดคือเศรษฐกิจ

ไปถามคนทำธุรกิจพ่อค้าแม่ค้า ล้วนแต่รอการเลือกตั้ง การกลับเป็นประชาธิปไตย มีผลต่อการค้าขายทันตา

สภาพที่รัฐมีอำนาจกดความขัดแย้ง จนดูสงบดีมาก แต่เรื่องปากท้องก็แย่มากด้วย!

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน