ยุคสายเหยี่ยว ใช้น้ำหรือน้ำมัน
คอลัมน์ ชกไม่มีมุม
วงศ์ ตาวัน
ยุคสายเหยี่ยว ใช้น้ำหรือน้ำมัน : ชกไม่มีมุม – เมื่อเดือนก่อน มีข่าวร้อนๆ กรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจ สันติบาล ทำเรื่องไปยังมหาวิทยาลัยต่างๆ เพื่อขอรายชื่อพร้อมประวัติของนักศึกษาชาวมุสลิม
นำมาสู่ปฏิกิริยาจากบรรดานักศึกษาดังกล่าว ไปจนถึงองค์กรของชาวมุสลิม นักสิทธิมนุษยชน และส.ส.ในพื้นที่ชายแดนใต้ ที่สังกัดพรรคฝ่ายค้าน
โดยท้วงติงว่า เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ขัดรัฐธรรมนูญ เป็นการเลือกปฏิบัติ มองแง่ลบ คล้ายกับเหมารวมนักศึกษามุสลิมทั้งหมดว่าเกี่ยวข้องกับขบวนการก่อความไม่สงบในภาคใต้
มีการตั้งข้อสังเกตว่า การตรวจสอบดังกล่าว เกิดขึ้นหลังเหตุระเบิดทั่วกทม.นับสิบจุด เมื่อต้นเดือน สิงหาคม
เลยยิ่งสร้างความรู้สึกขัดแย้งตามมา!!
แต่เรื่องที่เกิดขึ้น คงจะไปโทษสันติบาลคงไม่ได้ คงเป็นนโยบายที่สั่งการลงมา อีกทั้งหน้าที่ของตำรวจก็ทำไปตามภารกิจ ซึ่งมีนโยบายรัฐบาลเป็นเครื่องกำกับ
สิ่งที่ตำรวจทำในฐานะผู้รักษากฎหมาย เป็นส่วนปลายเหตุ
การแก้ที่ต้นเหตุคือนโยบายรัฐบาล
จะใช้การเมืองนำการทหาร หรือการทหารนำการเมือง
เป็นสายพิราบหรือสายเหยี่ยว!?!
เข้าใจได้ไม่ยากว่า 5 ปีที่ผ่านมาเป็นยุครัฐบาลทหาร วันนี้เป็นรัฐบาลเลือกตั้ง แต่ก็มีนายกฯเป็น “พลเอก” คนเก่า
ย้อนไปก่อนหน้านั้นเป็นยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ เปิดพูดคุยเจรจาชัดเจน พอยุครัฐบาลคสช.แทบจะไม่ได้เห็นการเปิดโต๊ะสันติภาพ
แต่ 5 ปีที่เน้นความมั่นคง แข็งกร้าว ได้ผลเพียงใด ทำไมจึงลุกลามเกิดระเบิด 7 จังหวัดใต้ตอนบน ในปี 2559 และล่าสุดทั่วกทม.เมื่อสิงหาคม 2562
เป็นเรื่องไฟใต้ล้วนๆ ไม่มีการเมืองชักใย
กระทั่งสันติบาลต้องเร่งหาข้อมูลนักศึกษามุสลิม ซึ่งอาจจะยิ่งเพิ่มอุณหภูมิความขัดแย้ง
แต่นี่คือการแก้ส่วนปลายเหตุของตำรวจ จุดสำคัญคือการแก้ต้นเหตุโดยนโยบายรัฐบาล!
ยิ่งเมื่อฝ่ายค้านโหมกระแสแก้รัฐธรรมนูญ เปิดเวทีสัญจรที่ปัตตานี ชูการแก้รัฐธรรมนูญเพื่อใช้ประชาธิปไตยมาดับไฟใต้
แล้วหน่วยงานความมั่นคง ก็ลุยแจ้งจับหัวหน้าพรรคฝ่ายค้านและนักวิชาการ
แสดงนโยบายยุคสายเหยี่ยวเต็มๆ
ซ้ำด้วยเหตุการณ์ผู้พิพากษายิงตัวเอง ด้วยความเครียดในกระบวนการคดีความมั่นคงในภาคใต้ เปิดประเด็นให้ถกเถียงกันหนัก ในปมปัญหาความยุติธรรม
นโยบายสายเหยี่ยวกำลังเผชิญศึกหนักมากขึ้นเรื่อยๆ!!