คอลัมน์ ชกไม่มีมุม
วงค์ ตาวัน
เป็นอันว่า สูตรการปฏิรูปตำรวจใหม่ล่าสุด ที่เสนอให้ย้ายไปสังกัดกระทรวงยุติธรรมนั้น จุดประกายให้ฮือฮาได้อย่างมาก สร้างความสนใจให้กับทุกวงการอย่างสูง นำมาสู่ข้อวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานา มีทั้งเห็นด้วย และมีทั้งไม่เห็นด้วย ซึ่งควรต้องรับฟังความอย่างรอบด้าน เพื่อให้ได้แนวทางที่ลงตัวมากที่สุด
แต่ที่ต้องให้ความสำคัญคือ องค์กรตำรวจเอง มีท่าทีเช่นไร!?
เข้าทำนอง ปลูกเรือนต้องตามใจผู้อยู่
ตามคำแถลงของทีมโฆษกตำรวจยืนยันว่า พร้อมรับการปรับเปลี่ยนแนวนี้
เหตุที่ตำรวจโอเค ไม่ต่อต้านคัดค้าน นั่นน่าจะเป็นเพราะการปรับตามสูตรนี้
สถานะของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยังคงดำรงอยู่เหมือนเดิม!
ไม่ได้หมายความว่า จากสมัยก่อนที่ขึ้นกับมหาดไทยนั้นมีฐานะเป็นเพียง “กรม” หัวหน้าหน่วยคือ “อธิบดี”
ต่อมาได้แยกเป็นอิสระ ขยับเป็นสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จากอธิบดีปรับเป็นผบ.ตร. เทียบเท่าระดับปลัดกระทรวง
ถ้าหากปฏิรูปอีกที โดยไปขึ้นกับกระทรวงยุติธรรม แล้วจะลดฐานะกลับไปเป็น “กรม” แบบในอดีต ก็หาเป็นเช่นนั้นไม่
ยังคงเป็นสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีผบ.ตร.หรือระดับปลัดเป็นหัวหน้าหน่วย!
ถ้าอ่านตามข้อเสนอการปฏิรูปจะพบว่า หากเข้าสังกัดยุติธรรมก็ขึ้นตรงกับรัฐมนตรียุติธรรม ไม่ได้ขึ้นกับปลัดกระทรวงยุติธรรมแต่อย่างใด เพราะผบ.ตร.ก็เป็นระดับปลัด อยู่แล้ว
เป็นเช่นนี้องค์กรตำรวจจึงไม่มีข้อขัดแย้ง
รวมทั้งที่ผู้ผลักดันปฏิรูปสูตรนี้ ยังกำหนดให้ยกระดับด้านเงินเดือนค่าตอบแทนครั้งใหญ่
ยิ่งสร้างขวัญกำลังใจให้กับตำรวจโดยรวม
หลักเช่นนี้ เป็นที่รู้กันดี และใช้ได้ดีในบางองค์กร
นั่นคือ หากรัฐบาลให้เงินเดือนข้าราชการตำรวจสมน้ำสมเนื้ออย่างแท้จริงแล้ว ก็จะลดปัญหารีดไถคอร์รัปชั่นได้โดยพื้นฐาน
อาจจะไม่ทั้งหมด แต่แก้ได้โดยส่วนใหญ่
อีกมุมหนึ่ง มีตำรวจบางคนมองว่า ปัจจุบันนี้เป็นสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขึ้นตรงกับนายกรัฐมนตรี แต่ในทางปฏิบัติ นายกฯจะทำหน้าที่ประธานก.ต.ช. พิจารณาแต่งตั้งผบ.ตร. ในส่วนก.ตร.ซึ่งคุมการโยกย้ายระดับนายพล จะมอบหมายให้รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง มาเป็นประธานก.ตร.
ทุกวันนี้องค์กรตำรวจจึงมีเจ้านายถึง 2 คน คือ นายกฯกับรองนายกฯ
ถ้าย้ายไปขึ้นกับกระทรวงยุติธรรม จะขึ้นกับรัฐมนตรีเพียงคนเดียว เป็นการลดเจ้านายลงไปด้วยซ้ำ
เอาเป็นว่าก็คงต้องถกเถียงและรับฟังความเห็นกันต่อไป
เพื่อให้การปฏิรูป ไม่ทำลายองค์กรตำรวจและเกิดประโยชน์กับประชาชนจริงๆ!
