คอลัมน์ ชกไม่มีมุม
วงค์ ตาวัน
ระยะนี้ มักได้ยินคำชี้แจงจากคนที่เคยไปร่วมเป่านกหวีด แล้วกำลังผิดหวังกับการเมืองในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เพราะที่เคยคุยกันอย่างหรูหราบนเวทีชัตดาวน์ ว่าจะปฏิรูปประเทศให้ดีงามอย่างนั้นอย่างนี้ แทบไม่มีอะไรเป็นไปตามที่คุยกันอย่างมากมายหลายด้านบนเวทีไฮด์ปาร์ก
เพราะการชัตดาวน์ ไม่ยอมรับการยุบสภา ไม่ยอมรับการเลือกตั้ง
ที่ทำอย่างนั้น ไม่มีทางเป็นอื่นได้เลย นอกจากทำทุกอย่างเพื่อเรียกให้ทหารออกมายึดอำนาจ ปิดซ่อมประชาธิปไตย
หลังจากนั้นเราก็ได้รัฐบาลที่มีคนในเครื่องแบบเป็นผู้นำ มีคนในเครื่องแบบอีกหลายนายนั่งในหลายกระทรวง
ผลที่ตามมาก็ไม่มีทางเป็นอื่น เพราะรัฐบาลทหาร ย่อมมองถึงทิศทางบ้านเมืองแบบทหาร!
เน้นความมั่นคง เสริมกำลังกองทัพ รวมทั้งจัดซื้ออาวุธเพื่อเพิ่มเขี้ยวเล็บ
ไปจนถึงต้องควบคุมเสรีภาพในสังคม เพราะทำให้เละเทะไร้ระเบียบ
โลกอินเตอร์เน็ต ที่มีเสรีมากไป กระทบต่อความมั่นคงของชาติ ต้องคุมเข้มให้ได้
ในเมื่อทหารมาปกครองบ้านเมือง เขาก็มีมุมมองแบบทหารอย่างแน่นอน
ไม่ใช่เรื่องผิดคาดที่รัฐบาลทหารจะคิดแบบนี้
ตอนไปร่วมชัตดาวน์คิดฝันว่า รัฐบาลรัฐประหารจะมีมุมมองมากกว่านี้ได้อย่างไร!?
ผ่านไป 3 ปี ธุรกิจการค้ามีปัญหา ตามสภาพความเป็นจริงที่โลกปิดกั้น เดือดร้อนไปหมด ธุรกิจสื่อใหญ่ๆ ที่ไปร่วมเป่านกหวีดก็ต้องขายหุ้น ไปจนต้องต้องทยอยปิดสื่อที่เคยผลิตมายาวนาน
แนวนโยบายการปฏิรูปประเทศแบบที่ชนชั้นกลางคิดและมอง ไม่อาจไปกันได้กับรัฐบาลอำนาจพิเศษ
จึงเริ่มมีคำอธิบายเหตุผลของการเคลื่อนไหวต่อสู้ที่ผ่านมาทำนองว่า ยุคนั้นต่อต้านเผด็จการรัฐสภา ซึ่งไม่ต่างอะไรกับการเมืองในปัจจุบัน เพียงแต่เป็นเผด็จการจากอีกฟาก
เมื่อรู้สึกผิดหวังกับรัฐบาลปัจจุบัน ก็จะใช้ถ้อยคำทำนองว่า ไม่ต่างจากเผด็จการรัฐสภาที่พวกเราเคยต่อต้าน
อันจริงแล้ว มันต่างกันแน่ๆ!!
เพราะการเมืองไทยก่อนจะมีการชัตดาวน์นั้น อำนาจการเมืองอยู่ในมือประชาชนแน่นอน
แม้ว่าบางพรรคการเมืองจะผูกขาดผลการเลือกตั้ง แต่จะตีตราว่าเป็นเผด็จการรัฐสภาได้อย่างไร เพราะนั่นคือการใช้อำนาจในมือประชาชนเลือกเข้ามา
การเมืองในยุคเลือกตั้งยังไม่ดีแท้แน่นอน แต่อำนาจอยู่ในมือประชาชน
และประชาชนต้องเรียนรู้เพื่อพัฒนาทางความคิดและพัฒนาการเมืองให้มีคุณภาพมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยประชาชนเอง
แต่ที่มาแทน เพราะการล้มรัฐบาลเลือกตั้งนั้น
เป็นอำนาจในมือคนกลุ่มเดียว ประชาชนส่วนใหญ่ไม่อาจร่วมคิดร่วมทำอะไรได้เลย!