เชื่อว่าฝ่ายรัฐบาลน่าจะประเมินปฏิกิริยาของประชาชนต่อคำประกาศนี้ได้ไม่ยาก เพราะยุคนี้วัดกระแสได้ง่ายดาย มีให้เห็นได้ในโซเชี่ยลมีเดียอันกว้างขวาง

นอกจากจะเกิดความสับสนงุนงงปนหวาดผวา เพราะเล่นแถลงลอยๆ แล้วบอกว่าจะเริ่มใช้ในอีก 2 วัน

นั่นก็ประการหนึ่ง

อีกประการ มีการมองอย่างสงสัยว่า จะใช้อำนาจพิเศษนี้ เพื่อมุ่งจัดการกับไวรัส หรือมุ่งในด้านความมั่นคงของรัฐบาลเอง

เพราะรัฐบาลมีปัญหาถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างไม่ยอมรับอย่างหนัก จนสั่นไหว ซูบผอม อ่อนล้า!!

แถมยังใช้คำว่าศอฉ.อีก ยิ่งนึกถึงการใช้อำนาจ ใช้กำลังทหาร ในปฏิบัติการเมื่อปี 2553

ทำให้เห็นภาพบรรยากาศอันดุดันน่าเกรงขาม

ที่ออกมาตั้งข้อสังเกตได้ฉับไว ก็คือแถลงการณ์ของพรรคก้าวไกลหรืออดีตพรรคอนาคตใหม่

เริ่มจากตั้งคำถามว่า วิกฤตโควิดขณะนี้ ไม่ได้เกิดเพราะกฎหมายปกติอ่อนแอหรือรัฐบาลมีอำนาจน้อยเกินไป!!

แต่ปัญหาอยู่ที่รัฐบาลขาดยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน ไร้ประสิทธิภาพ ในการบริหารจัดการ การวางแผนไม่รอบคอบ ขาดการประเมินผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ขาดการเตรียมความพร้อมในการรับมือ

รวมถึงความล้มเหลวในการเปิดเผยข้อเท็จจริงและการสื่อสารกับประชาชน

นอกจากนี้ยังเรียกร้องให้ใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพื่อมุ่งแก้การระบาดของโควิดจริงๆ

เช่น จำกัดการพบปะกันของผู้คนกลุ่มเสี่ยง ควบคุมการเดินทาง ลดผลกระทบต่อประชาชนที่ต้องกักตัวเอง

จุดสำคัญคือ ต้องไม่ใช้อำนาจพ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพื่อลิดรอนเสรีภาพของสื่อมวลชน เสรีภาพในการแสดงออกของประชาชน และละเมิดสิทธิในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชน

ทั้งยังเตือนสังคมให้ตระหนักด้วยว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉิน คือการให้อำนาจรัฐบาลและเจ้าหน้าที่อย่างกว้างขวาง!

อำนาจจับกุม ควบคุม ตรวจค้น ตรวจสอบการสื่อสาร และกำหนดโทษร้ายแรง

แถมการกระทำตามพ.ร.ก.นี้ไม่สามารถตรวจสอบได้โดยศาลปกครอง และพนักงานเจ้าหน้าที่ไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่ง ทางอาญา หรือทางวินัย

บทสรุปของพรรคก้าวไกลก็คือ ปัญหาโควิดวันนี้ ไม่ใช่เพราะกฎหมายอ่อนแอ ไม่ใช่เพราะรัฐบาลไม่มีอำนาจ

จึงต้องจับตาว่าเอากฎหมายพิเศษออกมาใช้ ต้องการเพื่อหยุดโควิดจริงๆ ไม่ใช่เพื่อสิ่งอื่นใด

ที่ผ่านมาชอบโทษเสียงวิจารณ์ แทนที่จะมองตัวเอง ก็เลยต้องตั้งข้อสงสัยการใช้อำนาจพิเศษเอาไว้ก่อน!