คอลัมน์ ชกไม่มีมุม โดย…วงค์ ตาวัน : จับสัญญาณร้อน การเมือง-เศรษฐกิจ
ในช่วง 5 วันนี้ ประชาชนคนไทยคงให้ความสนใจอยู่กับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่กำลังถกเถียงอภิปรายพ.ร.ก.เงินกู้ 1.9 ล้านล้าน ซึ่งรัฐบาลจะนำมาใช้เพื่อแก้ไขสถานการณ์โควิด โดยเป็นเงินจำนวนมากมายมหาศาล จึงต้องมีการชำแหละกันให้รอบด้าน อะไรที่จะเป็นจุดอันตรายต้องเอามาตีแผ่กันให้ชัดๆ
เป็นเรื่องที่ต้องสนใจฟังกันจริงๆ ทั้งในด้านกระบวนการควบคุมป้องกันโรคระบาดในช่วงที่ผ่านมา ไปจนถึงอนาคตข้างหน้าจะเยียวยาชีวิตความเป็นอยู่ประชาชนจะฟื้นฟูเศรษฐกิจกันอย่างไร!? แม้แต่การใช้พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉิน การใช้เคอร์ฟิว เหมาะสมหรือไม่ เป็นอุปสรรคการทำมาหากินของชาวบ้านขนาดไหน
คงต้องเอามาพูดกันให้หมดเปลือก
แต่อันที่จริง ถ้าถามว่ารัฐบาลแสดงฝีไม้ลายมือในการสู้กับวิกฤตโควิดได้ดีขนาดไหน
ก็ดูแค่คลื่นใต้น้ำภายในพรรคพลังประชารัฐเองก็เห็นได้ชัด ว่าส.ส.ของรัฐบาลเองก็ยังอึดอัดคับข้องใจ!
ทั้งเชื่อว่า เมื่อการพิจารณาพ.ร.ก.เงินกู้นี้จบลง
ดีเดย์เปลี่ยนแปลงภายในพรรคที่เป็นฐานรองรับนายกฯ ต้องมาถึงแน่นอน!!
ดังที่รู้กันดีว่า ปัญหาอยู่ที่ผู้บริหารพรรคพลังประชารัฐกับส.ส. ไม่เข้าขาไม่สอดรับกันเป็นชนวนเหตุ
ส่วนเปลี่ยนแปลงแล้วจะยุติปัญหาได้ หรือจะยิ่งเป็นความแตกร้าวที่จะนำไปสู่ปัญหาใหม่ก็เป็นไปได้ทั้งนั้น!?!
อีกทั้งไม่แค่เปลี่ยนแปลงภายในพรรครัฐบาล แต่น่าเชื่อว่าจะลุกลามไปถึงเก้าอี้รัฐมนตรี
กระแสการปรับครม.จะต้องกระหึ่มตามมาอีก!
เป็นอีกปรากฏการณ์ที่สะท้อนว่า ถ้าผลงานแก้โควิดดีจริง คงไม่ต้องมาเปลี่ยนโฉมรัฐบาลใหม่กระมัง
เท่ากับว่าต้นเดือนหน้า เมื่อโควิดซาลง การเมืองภายในพรรครัฐบาล ภายในคณะรัฐบาลเองจะเริ่มร้อนแรงอีกรอบ แถมที่จะประเดประดังเข้ามาอีก ไม่พ้นสถานการณ์เศรษฐกิจ คนตกงานในวงกว้าง ซึ่งจะหนักหนาสาหัสมากขึ้นเรื่อยๆ
เพราะประเทศไทยใช้มาตรการควบคุมโรคอย่างเข้มข้น ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา เหมือนจะดูดี
แต่ความจริงในอีกด้านนั้น ธุรกิจห้างร้าน โรงงานต่างๆ ทยอยเจ๊งไปเรื่อยๆ
พอเดือนหน้าจะยิ่งเห็นภาพคนตกงานคนอดอยาก แผ่กว้างไปทั่ว
เงินเยียวยาก็จะหมดฤทธิ์ เศรษฐกิจก็ทรุดหนัก
ความจริงหากเร่งฟื้นธุรกิจ คลายล็อกต่างๆ เลิกเคอร์ฟิว งดใช้กฎเหล็กให้เร็วที่สุด
จะทำให้เศรษฐกิจกลับมาได้ไวขึ้น เพื่อให้คนมีช่องทางทำมาหากิน เลี้ยงปากท้องตัวเองได้เอง
เก่งแต่การควบคุมเพื่อความมั่นคง ก็จะส่งผลอีกด้านตามมาเช่นนี้เอง!