ต้องแยกเรือนจำ คดีทางความคิด-การเมือง – การใช้มาตรการจับกุมคุมขังคนคิดต่างทางการเมืองนั้น มีมาหลายยุคสมัย หนักบ้างเบาบ้าง แล้วแต่จิตใจส่วนลึกของผู้มีอำนาจในแต่ละยุค แต่ศึกษาประวัติศาสตร์ เหล่านี้แล้วก็บอกได้เลยว่า คุกไม่สามารถหยุดยั้งความคิดอุดมการณ์ทางการเมืองได้เลย

คนที่โดนจับกุมคุมขัง ยิ่งแข็งแกร่ง และยิ่งสู้ร้อนแรงมากขึ้น

คนที่อยู่ข้างนอก ที่เป็นเพื่อนร่วมอุดมการณ์ ทั้งพ่อแม่ญาติพี่น้อง ยิ่งเคียดแค้นชิงชังคนที่ใช้อำนาจใช้โซ่ตรวน

มาในวันนี้เป็นที่ชัดเจนอย่างยิ่งว่า มีนโยบายใช้การจับกุมคุมขังเป็นอาวุธสำคัญ หวังหยุดยั้งม็อบเยาวชนคนรุ่นใหม่

บอกได้เลยว่า นอกจากจะหยุดไม่ได้แล้ว ยังเพิ่มประเด็นร้อนแรงให้กับบรรดาผู้ที่ยังเคลื่อนไหวอยู่อย่าง ต่อเนื่อง

ที่สำคัญรัฐบาลไหนที่มีการจับกุมคนคิดต่างจับกุมนักเรียนนักศึกษาในคดีทางการเมือง

จะยิ่งเป็นรัฐบาลติดลบในสายตาสากล!

ในขณะที่ทั่วโลกกำลังจับตามองประเทศพม่า ที่มีรัฐประหารมีการปราบม็อบอย่างโหดเหี้ยม ก็คงได้เห็นภาพประเทศไทยไปพร้อมกัน

เพราะไทยเรามีปัญหาการประท้วงของนักเรียนนักศึกษามาตั้งแต่ปีก่อน แล้วตอนนี้มาไล่จับกุมเข้าห้องขังอีก

รวมๆ แล้ว กลายเป็นมีปัญหาเสรีภาพทางการเมือง ที่ไล่เลี่ยกันระหว่าง 2 ประเทศนี้!?

นอกจากประเด็นสิทธิในการประกันตัว ของผู้ต้องคดีความคิด ซึ่งแตกต่างจากอาชญากรปล้นฆ่าค้ายาเสพติดแล้ว

สิทธิในระหว่างการคุมขัง กำลังเป็นเรื่องจับตากันมาก!

เริ่มมีข่าวว่า บางรายโดนย้ายห้องขังบ่อยๆ ซึ่งมีผลบั่นทอนจิตใจ หวังผลกระทบต่อสุขภาพร่างกาย

บางรายเอาไปขังในแดนเดียวกับนักโทษเด็ดขาด อย่างไม่เหมาะสม

สะท้อนมาตรการความโหดร้าย ไม่แค่เอาเขา ไปขัง แต่ยังทำทรมานทางจิตใจอีกด้วย!

จึงมีข้อเสนอว่า ถ้ารัฐบาลจะตั้งหน้าตั้งตาเอาคนต่อสู้ทางการเมืองเข้าคุกแบบนี้

ก็ควรคิดเรื่องการจัดเรือนจำของผู้ต้องหาทางการเมืองขึ้นมาต่างหาก

เหมือนสมัยก่อนที่มีเรือนจำสันติบาล เรือนจำโรงเรียนพลตำรวจบางเขน

แยกคนต้องคดีทางการเมือง ออกมาควบคุมไว้ต่างหาก เพื่อมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม

อย่างน้อยก็ทำให้เห็นว่ารัฐบาลยังพอมีสายตาเป็นปกติอยู่

ยังพอแยกได้ว่า ผู้ต้องหาคดีการเมืองคดีความคิด ไม่ใช่อาชญากรปล้นฆ่าค้ายา!

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน