ประชาชนกับวัคซีน
กองทัพกับอาวุธ
ชกไม่มีมุม
โดย…วงค์ ตาวัน
การทำหน้าที่ของส.ส.ฝ่ายค้านในการอภิปรายร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 ที่เพิ่งผ่านพ้นไปแม้ลงเอยรัฐบาลจะโหวตชนะตามฟอร์ม โดยเสียงส่วนใหญ่มีมติรับหลักการร่างพ.ร.บ.ดังกล่าว แต่ผลจากการอภิปรายก็มิได้สูญหายไป
กลายเป็นประเด็นให้สังคมได้วิพากษ์วิจารณ์ต่อไปมากมาย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อเปรียบเทียบที่ว่า ความมั่นคงของชาติต้องมี อาวุธยุทโธปกรณ์ต้องพร้อม ขณะที่ประชาชนยังได้วัคซีนไม่เพียงพอและไม่ทั่วถึง ในการสู้กับโควิด
ตัวเลขคนป่วยคนตายที่มีให้เห็นในทุกวัน คือ สิ่งที่ยืนยันความจริงของวัคซีน และการแก้ไขสถานการณ์โรคระบาดได้ดีพอหรือไม่
ไปจนถึงสถานการณ์เศรษฐกิจที่วิกฤตหนักในเบื้องหน้า
แต่สงครามสู้รบที่ยังมองไม่เห็นวี่แววอะไรเลย รัฐบาลกลับยืนยันว่ากองทัพต้องมีความพร้อมต้องเสริมเขี้ยวเล็บ!
ถ้าประเทศชาติอยู่ในสภาพปกติ ไม่มีคนป่วยคนตายด้วยโควิดทุกวัน
ไม่มีการเจ๊งระเนระนาดของกิจการต่างๆ คนตกงานมากมาย
ข้อเปรียบเทียบเรื่องงบประมาณการทหารอาจจะไม่หนักหนาเท่าสถานการณ์ขณะนี้
แต่นี่มีข้อเปรียบเทียบชัดๆ จึงเป็นเรื่องยากที่จะเอาสิ่งที่เป็นนามธรรม แต่กลับต้องใช้งบประมาณมหาศาล มาใช้อธิบายถึงการจัดสรรงบประมาณเช่นนี้
ขณะที่สิ่งที่เป็นรูปธรรมเห็นๆ เป็นภัยร้ายแรงคุกคามชีวิตประชาชนชัดๆ
กลับไม่มีการจัดสรรงบประมาณอย่างทุ่มเทเพื่อการแก้ปัญหาที่เห็นๆ และใกล้ตัวอย่างยิ่ง!
ทั้งหลายทั้งปวงตอกย้ำ ที่มาของรัฐบาลนี้
ย้อนให้เห็นถึงภาพรัฐบาลทหารเมื่อปี 2557 และต่อเนื่องเป็นรัฐบาลในการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 แต่รากฐานจริงๆ คือ ปี 2557
ทำให้นึกถึงถ้อยคำของฝ่ายรัฐบาลที่มักออกมาโจมตีฝ่ายค้านในการวิพากษ์วิจารณ์การแก้โควิด
ประเภท ฝ่ายค้านอย่าเล่นการเมืองบนความเดือดร้อนของประชาชน!?!
แต่การจัดงบประมาณและความจริงของการฉีดวัคซีน กลายเป็นเครื่องบ่งชี้ว่า
ความเดือดร้อนของประชาชนมาจากฝ่ายไหนกันแน่!
รวมไปถึงส.ว.บางราย ที่ออกมาฟาดใส่ล่าสุด มองฝ่ายค้านก็คือฝ่ายแค้นที่ถ่วงความเจริญของชาติ กลายเป็นการตอกย้ำ ทำให้ประชาชนยิ่งได้ย้อนมองว่า
250 ส.ว.ที่มีอำนาจเหนือเสียงเลือกตั้งของประชาชนทำหน้าที่โหวตนายกฯ ตามใบสั่งอย่างไม่แตกแถวนั้น
คือต้นเหตุให้การเมืองไทยถูกผูกขาด ไม่เปิดให้คนที่มีความสามารถเข้ามาบริหารประเทศชาติในวิกฤตหนักวันนี้มิใช่หรือ!?