เหตุไฟไหม้โรงงานตอกย้ำความเจ็บช้ำวัคซีน – ภาพพนักงานหน่วยกู้ภัยต่างๆ ไปจนถึงหน่วยดับเพลิง รวมทั้งเจ้าหน้าที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย มหาดไทย เสี่ยงชีวิตเพื่อหยุดยั้งเหตุไฟไหม้และระเบิดจากถังเก็บสารเคมีภายในโรงงานย่านบางพลี สมุทรปราการ จนต้องเซ่นสังเวยชีวิตอย่างน่าเศร้าสลดไป 1 ราย
แถมการควบคุมสถานการณ์ ยังเต็มไปด้วยความยากลำบาก ใช้เวลายืดเยื้อยาวนาน
ประเด็นที่คนทั่วทั้งสังคมรู้สึกตรงกันในทันทีคือ ทำไมประเทศไทยเรา จึงไม่มีเครื่องไม้เครื่องมืออุปกรณ์เพื่อรับมือกับเหตุการณ์เช่นนี้ได้ดีพอ
แม้แต่การใช้เฮลิคอปเตอร์เพื่อโปรยโฟมเข้าดับกองไฟ ก็มีเพียงไม่กี่ลำ
จึงไม่น่าแปลกใจ ที่จะเกิดคำถามตามมา ถึงเงินงบประมาณรายจ่ายที่ทุ่มซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์มากมายหลายหมื่นหลายพันล้าน
แต่กลับไม่สามารถทุ่มงบฯเพื่อซื้อเฮลิคอปเตอร์ เครื่องบิน รถดับเพลิงประสิทธิภาพสูง เพื่อการ บรรเทาสาธารณภัยอันเป็นภัยใกล้ชิดประชาชนได้!
อันที่จริงเหตุการณ์ไฟไหม้โรงงานขนาดใหญ่และยังเกิดการระเบิดด้วยสารเคมีทำนองนี้ เกิดมาแล้วหลายครั้ง
แต่ก็ไม่ได้เห็นพัฒนาการจากรัฐบาลเพื่อการเพิ่มประสิทธิภาพหน่วยงานและเครื่องมือเพื่อการนี้
มาหนนี้ถือว่ารุนแรงมากมายทีเดียว อีกทั้งยังกระทบถึงชุมชนรอบๆ อย่างหนัก
รวมทั้งยังไม่รู้ว่าปัญหาสารเคมีชนิดร้ายแรงจากโรงงานผลิตเม็ดโฟมและพลาสติกแห่งนี้ ยังจะส่งผล กระทบตามมาอีกขนาดไหน!?
ทั้งที่เป็นควันพิษลอยไปทั่วท้องฟ้า และที่อาจจะปนเปื้อนไปตามแหล่งน้ำ
จึงทำให้ประชาชนทั่วไปย่อมรู้สึกได้ว่า ไม่ได้รับทุ่มเทงบประมาณเพื่อการคุ้มครองชีวิตของประชาชนอย่าง ดีพอ!!
คำถามเชิงประชดประชันเช่น เอาเรือดำน้ำมาดับไฟและหยุดระเบิดโรงงานได้หรือไม่
เป็นการตั้งคำถามถึงการจัดสรรงบประมาณของรัฐบาลโดยตรง
ยิ่งเหตุร้ายที่โรงงานบางพลีครั้งนี้ มาเกิดซ้ำซ้อนในขณะที่เรากำลังอลหม่านกับสถานการณ์โควิด และความขาดแคลนวัคซีน!
ก็ยิ่งตอกย้ำความเจ็บช้ำน้ำใจของผู้คน
เงินซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์เพื่อสงครามสู้รบที่มองไม่เห็นวี่แวว และยิ่งไม่สอดคล้องกับโลกยุคดิจิตอล ที่การรบพุ่งเปลี่ยนแปลงรูปแบบไปแล้ว
กลับยังทุ่มเทไม่สิ้นสุด
แต่สงครามโรคระบาดโควิดที่ป่วยตายกันเห็นๆ กลับไม่ทุ่มงบฯ เพื่อซื้อวัคซีนมาให้เพียงพอและได้คุณภาพดีๆ
แล้วมาเจอสภาพเครื่องไม้เครื่องมือสำหรับรับมือเหตุไฟไหม้ระเบิดโรงงาน
ชาวบ้านยิ่งยากจะทำใจได้!!
วงค์ ตาวัน