ผลจากรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 กำลังทำให้ประชาชนคนไทย โดยเฉพาะที่เลือกพรรคก้าวไกล ต้องอึดอัดคับข้องใจกันอีกครั้ง เพราะบทเฉพาะกาลที่ให้อำนาจส.ว.ร่วมโหวตแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีด้วย ทำท่าจะเป็นอุปสรรคสำคัญ เป็นด่านหินที่ไม่ยอมให้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30
หลังจากที่ทำให้เจ็บช้ำใจกันมาแล้วในการเลือกตั้ง 2562 มาหนนี้กำลังจะซ้ำรอยเดิม
ในการเลือกตั้งครั้งก่อน พรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งได้ส.ส.มาเป็นอันดับ 1 แต่เพราะเสียง 250 ส.ว.นี้เอง ที่ไปอยู่กับฝ่ายพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทำให้พรรคการเมืองหลายพรรคไหลไปร่วมด้วย จนได้เป็นรัฐบาลพลังประชารัฐ ส่งเพื่อไทยไปเป็นฝ่ายค้าน
มาหนนี้ เกิดกระแสต่อต้านนโยบายของก้าวไกลในหมู่เครือข่ายอำนาจเดิม ส่งเป็นสัญญาณไปถึงส.ว. ตั้งท่าจะไม่ยอมโหวตให้แคนดิเดตนายกฯ ของก้าวไกล
จึงต้องลุ้นกันระทึกในช่วง 2 เดือนนี้ รอขั้นตอนการรับรองผล ส.ส.อย่างเป็นทางการของ กกต. แล้วนำไปสู่การเปิดประชุมสภา
เมื่อใกล้จะถึงวาระโหวตตั้งนายกฯ คงจะได้เห็นท่าที ส.ว.ชัดเจนแน่นอน ว่ายังจะตั้งด่านต้านพิธาหรือไม่!?
แต่ถ้าวัดจากความเคลื่อนไหวของเหล่าส.ว.ในเวลานี้ คงจะเล่นบทขวางพิธาแน่ๆ
การเมืองไทยหลังเลือกตั้ง จึงยังมีแนวโน้มจะไม่ลดอุณหภูมิลงไปได้ง่ายๆ
จะตั้งพิธาได้หรือไม่ ถ้าตั้งไม่ได้อะไรจะเกิดขึ้น!!
นี่แหละคือพิษภัยจากรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ให้อำนาจส.ว.ร่วมโหวตนายกฯ
อำนาจนี้จะจบสิ้น ก็เมื่อส.ว.ชุดนี้หมดวาระในเดือนพฤษภาคม ปีหน้า 2567 โน่น
ดังนั้น ถ้าสมมติว่าสภาชุดใหม่ล่าสุดนี้ เกิดมีปัญหาจนต้องยุบสภา เพื่อเลือกตั้งใหม่
ขอให้เลือกหลัง 11 พฤษภาคม 2567 ก็แล้วกัน
ไม่เช่นนั้นก็จะมาเจอปัญหา 250 ส.ว. ร่วมโหวตนายกฯอีก
นี่คือ แง่มุมเลวร้าย แทรกแซงประชาธิปไตย จากรัฐธรรมนูญ ที่ร่างในยุคทหารคสช.
ทำให้เสียง 250 คน มาอยู่เหนือเสียงประชาชนหลายสิบล้านที่ไปเลือกตั้ง
เราเคยได้ยินแต่การเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีต้องมาจากส.ส.เท่านั้น เพื่อยืนยันหลักประชาธิปไตย เป็นคนที่ประชาชนเลือกตั้งเข้ามา
วีรชนพฤษภาคม 2535 ขับไล่นายกฯ จากคณะรัฐประหาร
รวมทั้งต่อสู้ด้วยชีวิตเลือดเนื้อ จนทำให้รัฐธรรมนูญจากนั้นกำหนดชัดว่า นายกฯ ต้องมาจากส.ส.!
พอมารัฐธรรมนูญ 2560 กลับลบล้างประเด็นนี้ แถมยังให้อำนาจส.ว.มาร่วมโหวตนายกฯ
ที่เคยสู้ให้ได้ “นายกฯ มาจากส.ส.” ต้องกลายเป็น “นายกฯ ต้องมาจากส.ว.ยอมยกมือให้”!!
วงค์ ตาวัน
