ข้อสนทนาของผู้คนทั่วสังคมไทยในเวลานี้ ไม่พ้นความห่วงใยในชะตากรรมของพรรคก้าวไกล ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำตัดสินแล้วว่า นโยบายการแก้ไขมาตรา 112 ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคก้าวไกลนั้น ต้องยุติการกระทำ ด้วยเข้าข่ายล้มล้างการปกครอง
ทำให้ต้องมองต่อไปว่า มีโอกาสสูงที่จะมีการยื่นร้องให้ยุบพรรค รวมทั้งร้องให้ถอดถอนสมาชิกพรรคจำนวนหนึ่ง ที่ร่วมลงชื่อเสนอร่างพ.ร.บ.ดังกล่าว
เพียงแต่ตัวตนของพรรคการเมืองนี้ ดูจะไม่หวั่นไหวกับชะตากรรมที่จะติดตามมา เพราะเชื่อว่า ยิ่งโดนยุบจะยิ่งเติบโต
ด้วยเป็นพรรคที่อยู่ในกระแสสนับสนุนจากคนรุ่นใหม่ในวงกว้าง
แต่ก็คงต้องเตรียมรับกับสถานการณ์เบื้องหน้า ถ้ามีการยุบพรรค ถ้าแกนนำพรรคโดนร้องถอดถอน
จะมีทางออกเช่นไร ทั้งต้องมีพรรคใหม่รองรับ ต้องมีแกนนำที่จะสานต่อ!!
ต้องยอมรับความจริงว่า นโยบายแก้ไขมาตรา 112 เป็นเรื่องใหญ่ที่มีผลต่อพรรคก้าวไกล ทั้ง 2 ด้าน
ด้านหนึ่งคือถูกใจคนรุ่นใหม่ ที่ต้องการให้มีการปรับแก้ เพื่อเปิดกว้างในการแสดงความคิดเห็น
แต่อีกด้านกลายเป็นอุปสรรคขวากหนามของพรรคนี้ด้วย ทำให้เสียโอกาสในการเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาลและเป็นนายกรัฐมนตรีมาแล้ว!
มาล่าสุดลุกลามบานปลาย เมื่อมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ว่าเข้าข่ายล้มล้างการปกครอง
จนน่าเชื่อว่า จะนำไปสู่ปมร้อนแรง สุ่มเสี่ยงต่อการโดนยุบพรรคเป็นลำดับถัดไป!!
แต่หากถึงขั้นโดนยุบพรรคจริง ก็ต้องมีพรรคใหม่มาสานต่อ และเชื่อว่าด้อมส้มก็จะตามสนับสนุนต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ
ทั้งยังมีความเชื่อในกระแสสังคมที่ว่า ยิ่งก้าวไกลโดนยุบ พรรคใหม่ที่จะมาแทนยิ่งได้รับการสนับสนุนจากประชาชนวงกว้าง
กระนั้นก็ตาม หากมองอีกมุม ฝ่ายอนุรักษนิยมการเมือง ที่ไม่ยอมรับในแนวคิดของพรรคคนรุ่นใหม่
ฝ่ายนี้ยังเชื่อว่า รัฐบาลที่มีเพื่อไทยเป็นแกนนำ จะมีผลงานในการฟื้นเศรษฐกิจ แก้ปากท้องประชาชน!
ทั้งเสียงสนับสนุนรัฐบาล ทั้งจากจำนวนสส.ในสภา และจากเครือข่ายอำนาจ น่าจะทำให้รัฐบาลเศรษฐาอยู่ได้ถึงครบเทอม
มีเสถียรภาพและมีเวลา ให้นายกฯ เศรษฐาได้เร่งโชว์ฝีมือด้านเศรษฐกิจ
เพื่อเรียกคะแนนนิยมจากชาวบ้าน ส่งผลดีต่อพรรคการเมืองในขั้วรัฐบาลนี้ ในการเลือกตั้งอีก 4 ปีข้างหน้า
โดยกลับกัน พรรคก้าวไกลเอง ก็จะต้องติดหล่มปัญหาการยุบพรรค และปัญหา 112
แล้วหากรัฐบาลเพื่อไทย สามารถทำเศรษฐกิจได้ฟื้นจริง
ถึงเวลาเลือกตั้งครั้งหน้า ต้องขึ้นกับประชาชนว่าจะตัดสินใจอย่างไร จะเลือกพรรคไหน เลือกแนวทางไหน!?
วงค์ ตาวัน