ดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจของประเทศไทยที่สำคัญประการหนึ่งก็คือ ราคาพืชผลการเกษตร ถ้าขายได้ราคาดี ชาวสวนชาวไร่มีรายได้งดงาม หมายถึงปากท้องประชาชนในระดับรากหญ้าเริ่มมีความสุข มีเงินจับจ่ายใช้สอย จะมีผลต่อธุรกิจค้าขายตามมาเป็นลูกโซ่
ดังนั้นการที่ราคายางพาราดีหรือไม่ดี มักจะเป็นประเด็นข่าว เพราะเป็นพืชผลการเกษตรที่มีปริมาณมาก มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูง!
เกษตรกรสวนยางมีจำนวนอยู่เกือบ 2 ล้านราย พื้นที่ปลูกยางมีมากกว่า 25 ล้านไร่
เป็นกลุ่มเกษตรกรที่เป็นรองจากชาวนาเท่านั้น
ที่สำคัญพื้นที่ปลูกยางพาราส่วนใหญ่อยู่ในภาคใต้ ซึ่งเป็นภาคที่มวลชนมีอารมณ์ร่วมทางการเมืองค่อนข้างสูง เห็นได้จากม็อบจากภาคใต้เกี่ยวพันกับการเปลี่ยนแปลงการเมืองมาแล้ว
ม็อบชาวสวนยางภาคใต้ เคยมีส่วนในขบวนก่อกระแสต่อต้านรัฐบาลยิ่งลักษณ์อย่างรุนแรงมาแล้ว!!
มองในแง่ที่ว่า หากรัฐบาลสามารถทำให้ราคายางพุ่งสูง ก็หมายถึงทำให้เศรษฐกิจในประเทศดีขึ้นไปด้วย
ทำให้เกษตรกรสวนยางที่มีเกือบ 2 ล้านราย มีรายได้ดี ก็เป็นประโยชน์ต่อประชาชนคนไทยอย่างยิ่ง
ดังนั้นการที่รัฐบาลนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ภูมิอกภูมิใจอย่างยิ่ง ที่สามารถทำให้ราคายางทะลุเกิน 80 บาทแล้ว จึงไม่ใช่เรื่องเกินเลย
เพราะรัฐบาลเศรษฐา ฉุดราคายางให้เขยิบขึ้นมาจากยุครัฐบาลที่แล้วอย่างเห็นหน้าเห็นหลัง
จากเดิมทีราคา 3 โลร้อย ตอนนี้รัฐบาลเศรษฐาทำได้ทะลุโลละ 80 บาทแล้ว ก็มีแต่จะเฮกันลั่น!!
มองย้อนราคายางพารายุคที่รุ่งเรือง ต้องยกให้สมัยทักษิณ ชินวัตร ทำจากราคาไม่กี่สิบบาทในช่วงก่อนหน้านั้น ขึ้นไปจนเกิน 100 บาท ถึง 120 บาท
เพราะการเปิดตลาดต่างประเทศ
จากนั้นราคายางพาราก็ดีต่อเนื่องมาเรื่อยๆ จนมาถึงยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ทำได้เกิน 120 บาทขึ้นไปอีก แต่ในช่วงท้ายๆ ลดลงมาเหลือ 80 บาท
ตอนนั้นสถานการณ์การเมืองร้อนระอุ กระแสโค่นรัฐบาลยิ่งลักษณ์จากฝ่ายอนุรักษนิยมการเมืองเริ่มแรง
เลยเปิดเกมด้วยม็อบสวนยางภาคใต้ เรียกร้องราคาเกิน 100 บาท
เสร็จสมอารมณ์หมาย พอโค่นยิ่งลักษณ์เสร็จ ราคายางในยุครัฐบาลทหาร รูดลงมาจนเหลือ 3 กิโล 100 บาท
เอาเป็นว่ารัฐบาลเศรษฐาทำงานมา 6 เดือน ราคายางพาราก็ขยับขึ้นมาเรื่อยๆ
ด้วยการปราบยางเถื่อนจากนอกประเทศ
ขึ้นมาเกิน 40 บาท 50 บาท จนเกิน 70 บาทก็ฮือฮากันมากแล้ว แต่ตอนนี้ทะลุ 80 บาทแล้ว เป้าหมายยังจะไปให้ถึง 100 บาทให้ได้
รัฐบาลนี้มีจุดขายคือแก้ปากท้องประชาชน ตอนนี้ชาวสวนยางก็คงช่วยยืนยันให้ได้!!
วงค์ ตาวัน