การเดินทางไปต่างประเทศอย่างมากมายกว่า 10 ประเทศ ทั้งไปร่วมการประชุมระดับต่างๆ ทั้งการเดินทางไปทำหน้าที่เซลส์แมน เปิดประตูการค้าขายการลงทุน ของนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน เป็นประเด็นที่ถูกหยิบยกมาพูดถึงอย่างอื้ออึง
ฝ่ายจับจ้องรัฐบาล จับมาเป็นประเด็นโจมตีว่า เอาแต่ไปเที่ยว ไปโชว์ตัว ไม่ใช้เวลาอยู่ในประเทศเพื่อแก้ไขปัญหาบ้านเมืองอันมากมาย
ไปจนถึงตั้งคำถามว่า เดินทางไปแล้วได้อะไรเป็นผลงานขึ้นมาบ้าง
ในอีกด้าน กรณีสื่อระดับโลกนิตยสารไทม์ ขึ้นภาพปกนายกฯ ของประเทศไทย พร้อมคำพาดหัวเดอะเซลส์แมน
แสดงให้เห็นว่า บทบาทการทำงานของเศรษฐา อยู่ในสายตาสื่อทั่วโลก การเดินทางเพื่อเปิดประตูการค้าการลงทุน กำลังเป็นที่จับตามอง
พูดได้ว่า เป็นทั้งจุดเด่นของบทบาทนายกฯ และเป็นทั้งจุดที่โดนฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลหยิบมาโจมตีพร้อมๆ กัน!
ในการเปิดอภิปรายซักฟอกรัฐบาลของสว.ที่ผ่านมาไม่พลาดในการหยิบประเด็นนี้
คำตอบของนายกฯ เศรษฐาที่มีให้กับสว.ก็คือ การเดินทางไปต่างประเทศ เป็นเรื่องจำเป็น เช่น การประชุมอาเซียน รวมทั้งเป็นธรรมเนียมที่ผู้นำใหม่ต้องไปเยือนประเทศเพื่อนบ้าน
ส่วนการไปเจรจาชักชวนการลงทุนนั้น การลงทุนโครงการใหญ่เป็นแสนล้านบาท ต้องใช้เวลามากกว่า 7 เดือนในการตกลง!
เป็นการตอบคำถามที่ว่า เดินสายไปมากมาย ไม่เห็นได้ผลอะไรเลย
เพราะเรื่องชักชวนการลงทุนแบบข้ามประเทศคงไม่สามารถไปชวนวันนี้แล้วพรุ่งนี้มาได้ทันที หรืออีกเดือนสองเดือนก็มาได้เลยกระมัง!?
อีกประเด็นที่สว.วิจารณ์ คือการทำหน้าที่เป็นเซลส์แมนให้กับประเทศไทย
ทำนองว่าระดับนายกฯ สมควรแล้วหรือทำหน้าที่เซลส์แมน
อ้างว่านายกฯ ต้องเป็นซีอีโอ โดยให้รองนายกฯ หรือให้รัฐมนตรีไปทำหน้าที่เซลส์แมน จะถูกต้องกว่า
ความจริงประเด็นนี้ ให้ไปฟังความเห็นของผู้บริหารกลุ่มทุนใหญ่ๆ ของไทยเราเอง ที่มีประสบการณ์ไปลงทุนในต่างประเทศ
จะได้เหตุผลแบบคนรู้จริงมากกว่า
เขามองว่า การเดินสายไปชักชวนลงทุนข้ามชาติโดยนายกฯ ไปด้วยตัวเอง ถูกต้องที่สุด
เพราะประสบการณ์ที่ไปลงทุนประเทศอื่นรู้ดีว่า ในภาวะที่โลกวุ่นวายด้วยความขัดแย้ง สงคราม และเศรษฐกิจตกต่ำ
การตัดสินใจจะไปลงทุนข้ามชาติหรือไม่ ต้องมีรายละเอียด มีเงื่อนไข
ดังนั้นนายกฯ เศรษฐาต้องไปชวนเอง คุยเอง จึงจะสามารถคุยตกลงเงื่อนไขพิเศษๆ ตามที่นายกฯ มีอำนาจตกลงได้ จึงจะทำให้การเจรจาได้ผล
ฟังคนรู้จริงแล้วจะเข้าใจได้ว่า ทำไมเศรษฐาต้องเป็นเซลส์แมนไปเจรจาทั่วโลกเอง!!
วงค์ ตาวัน
