คอลัมน์ วงล้อเศรษฐกิจ

ในปัจจุบันธุรกิจ SME เข้าถึงสินเชื่อของสถาบันการเงินประมาณเพียงแค่กว่า 40% ของจำนวน SME ทั้งหมด โดย พ.ร.บ. หลักประกันทางธุรกิจ ซึ่งประกาศใช้เมื่อ 2 ก.ค. 2559 อาจสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในแวดวงสินเชื่อธุรกิจ SME เพิ่มเติม

โดยพบว่า ณ วันที่ 31 ม.ค. 2560 หรือ 7 เดือนแรกนับจากเริ่มใช้กฎหมาย มีการจดทะเบียนสัญญาหลักประกันทางธุรกิจ จำนวนกว่า 115,000 คำขอ เพิ่มขึ้น 4.4% จาก ณ สิ้นปี 2559 ในขณะมูลค่าทรัพย์สินที่นำมาจดทะเบียนเพิ่มขึ้นกว่า 10.5% ในช่วงเวลาดังกล่าว หรือคิดเป็น 1.63 ล้านล้านบาท

โดยสินทรัพย์ที่ถูกนำมาขึ้นทะเบียนมีความหลากหลายครอบคลุมหลายหมวด เช่น เงินฝากธนาคาร ลูกหนี้การค้า สินค้าคงคลังและวัตถุดิบ เครื่องจักรและยานยนต์ ทั้งนี้ เงินฝากธนาคารยังนับเป็นสัดส่วนใหญ่ที่สุดหรือถึง 59% ของสินทรัพย์ที่นำมาจดทะเบียนหลักประกันทางธุรกิจทั้งหมด ในขณะที่สินทรัพย์หมวดใหม่ๆ อย่าง ทรัพย์สินทางปัญญา และกิจการ ยังไม่ได้รับความนิยมมากนัก

ที่ผ่านมา หลักประกันที่ผู้ประกอบการใช้เป็นหลักประกัน คือ สินทรัพย์ถาวร เช่น ที่ดิน โรงงาน ที่พักอาศัย ดังนั้น จะเห็นได้ว่ากฎหมายหลักประกันทางธุรกิจตอบโจทย์ให้กับ SME เพราะเปิดโอกาสให้ SME เข้าถึงแหล่งเงินทุนมากขึ้น

จากการศึกษาพบว่า 80% เป็นธุรกิจค้าปลีก/ค้าส่งและธุรกิจบริการ ที่ส่วนใหญ่มีสินทรัพย์ถาวรน้อยแต่มีทรัพย์สินอื่นๆ จำนวนมาก ดังนั้น หากมูลค่าทรัพย์สินที่จดทะเบียนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จะทำให้ SME เข้าถึงแหล่งเงินทุนจากสถาบันการเงินได้ง่ายขึ้น

โดยประเมินว่า หากนำมาใช้ได้อย่างเต็มศักยภาพ กฎหมายหลักประกันทางธุรกิจนี้สามารถส่งผลให้อัตราการขยายตัวของสินเชื่อ SME เร่งตัวเร็วกว่าเดิมได้ถึง 2 เท่าจากอัตราการขยายตัวปกติ

อย่างไรก็ตาม การนำกฎหมายหลักประกันทางธุรกิจไปใช้มีอุปสรรคอยู่บ้าง เนื่องจากยังเป็นเรื่องใหม่ ดังนั้น เพื่อให้กฎหมายดังกล่าวเอื้อประโยชน์ให้ SME เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่าย รวดเร็ว และต้นทุนต่ำ ทุกภาคส่วนควรร่วมมือกันเพื่อบูรณาการกระบวนการทำงานร่วมกัน

อันจะส่งผลให้ SME สามารถสร้างการเติบโตทางธุรกิจได้ดีขึ้นและเป็นฐานสนับสนุนการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน