คอลัมน์ วงล้อเศรษฐกิจ

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (อีไอซี) ธนาคารไทยพาณิชย์

จากผลการประชุมร่วมของกลุ่ม OPEC 13 ประเทศ และ non-OPEC 11 ประเทศ ณ กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย เมื่อวันที่ 25 พ.ค. 2017 มีมติคงตัวเลขการปรับลดปริมาณการผลิตน้ำมันดิบรวมที่ 1.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน ต่อไปอีกเป็นระยะเวลา 9 เดือน ถึงเดือนมี.ค. 2018 เพื่อรักษาสมดุลของอุปสงค์และอุปทานน้ำมันในตลาดโลก และรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมัน

อีไอซีมองราคาน้ำมันดิบ Brent ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2017 มีแนวโน้มปรับสูงขึ้นไปที่ระดับ 55-56 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล หาก JMMC สามารถลดปริมาณการผลิตน้ำมันดิบได้ตามข้อตกลง

อย่างไรก็ดี ยังมีความเสี่ยงจากราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้น มีแนวโน้มจูงใจให้ผู้ผลิต shale oil ในสหรัฐ เพิ่มปริมาณการผลิต ซึ่งจะส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบเกิดการผันผวน

ทั้งนี้ มองราคาน้ำมันดิบที่ฟื้นตัวจะส่งผลบวกต่อผู้เล่นหลักในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันและมูลค่าการส่งออก ของไทย ราคาน้ำมันที่ปรับระดับสูงขึ้นจะส่งผลดีต่อผู้เล่น ในอุตสาหกรรมน้ำมันโดยเฉพาะอุตสาหกรรมต้นน้ำอย่างบริษัทสำรวจและผลิต และผู้เล่นในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ที่รายได้มีแนวโน้มสูงขึ้นจากปัจจัยสนับสนุนด้านราคา

นอกจากนี้ ราคาสินค้า commodity โดยเฉพาะยางพาราที่มีการแปรผันตามราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มที่จะปรับระดับ ราคาเพิ่มขึ้นเช่นกัน ส่งผลให้ภาคครัวเรือนที่เกี่ยวข้องมีกำลังซื้อมากขึ้น

ในส่วนของภาคการส่งออก ระดับราคาน้ำมันที่ฟื้นตัวจะสนับสนุนให้มูลค่าการส่งออกของไทยปรับระดับสูงขึ้น โดย อีไอซีคาดการณ์ว่าในปี 2017 การส่งออกของไทยจะเติบโตที่ 2.5% ทั้งนี้ ณ ปัจจุบัน สินค้าที่เกี่ยวข้องกับราคาน้ำมัน ได้แก่ ยางพาราและผลิตภัณฑ์ ได้ขยายตัวที่ 63% น้ำมันสำเร็จรูป ขยายตัวที่ 35% เคมีภัณฑ์และพลาสติก ขยายตัวที่ 12%

อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันที่ปรับระดับสูงขึ้นนั้นจะส่ง ผลลบต่อผู้ประกอบการที่มีต้นทุนน้ำมันเป็นสัดส่วนใหญ่ เช่น ธุรกิจสายการบิน ขนส่งและโลจิสติกส์ อาจต้องแบกรับภาระต้นทุนที่สูงขึ้น รวมไปถึงภาคครัวเรือนผู้ใช้รถจะได้รับ ผลกระทบจากราคาน้ำมันขายปลีกที่ปรับสูงขึ้นเช่นกัน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน