คอลัมน์ วงล้อเศรษฐกิจ

บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประกาศ “เกณฑ์ใหม่” สำหรับการควบคุมการเปลี่ยนเงิน โดยแนวทางการผ่อนคลายกฎเกณฑ์การแลกเปลี่ยนเงินล่าสุด จะแบ่งออกเป็น 4 เรื่องหลัก

ได้แก่ 1.การลดขั้นตอนและเอกสารเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และลดต้นทุนในการประกอบธุรกิจ 2. การเพิ่มความคล่องตัวให้กับภาคเอกชนในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน 3.การเพิ่มทางเลือกซื้อขายโอนเงินรายย่อย และหนุนการเชื่อมโยงการค้า-การลงทุนกับภูมิภาค และ 4.เพิ่มทางเลือกให้รายย่อยในการลงทุน และเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการรายใหม่ เพื่อเพิ่มการแข่งขัน

มองว่า แนวทางผ่อนคลายตามเกณฑ์ใหม่ของธปท. มีประเด็นสำคัญอยู่ที่ การเสริมบทบาทของผู้เล่นหน้าใหม่ ทั้ง Money Transfer Agent และ Money Changer เข้ามาแข่งขันให้บริการทางการเงิน ทั้งเพื่อชำระค่าสินค้าและบริการ การโอนเงินระหว่างประเทศ กับประชาชน รายย่อยและผู้ประกอบการขนาดเล็ก ซึ่งย่อมเป็นประโยชน์ต่อการขยายโอกาสธุรกรรมการค้าการลงทุนตามชายแดน และข้ามพรมแดนมากขึ้น

ขณะที่การอนุญาตให้บริษัทหลักทรัพย์สามารถซื้อ-ขายเงินต่างประเทศ ได้เอง ก็น่าจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการให้บริการลูกค้าที่เป็น ผู้ลงทุนไทยและลูกค้าต่างประเทศได้มากขึ้น

การปรับเกณฑ์การแลกเปลี่ยนเงิน ล่าสุดของธปท. น่าจะมีส่วนช่วยเสริมศักยภาพการแข่งขันให้กับภาคธุรกิจไทย

อย่างไรก็ดี คงต้องยอมรับว่า แรงกดดัน ของเงินดอลลาร์ อย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา (โดยเฉพาะจากเรื่องความไม่แน่นอนในจังหวะการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดในช่วงครึ่งปีหลัง) ยังคงหนุนให้เงินบาททำสถิติแข็งค่าสุดในรอบ 23 เดือน ที่ระดับ 33.95 บาทต่อดอลลาร์

ซึ่งแม้ว่าทิศทางการแข็งค่าของเงินบาทจะเป็นไปในทิศทางที่สอดคล้องกับสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาค แต่ผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาทต่อผู้ประกอบการแต่ละรายในแต่ละอุตสาหกรรมอาจจะมีภาพที่แตกต่างกันออกไป

ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ ผู้ที่มี Exposure ในเงินตราต่างประเทศ ยังมีความจำเป็นต้องพิจารณาเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อรายได้หลังจากการแลกกลับมาเป็นสกุลเงินบาทด้วย

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน