นับเป็นปฏิบัติการที่สร้างความฮือฮาให้กับคนในสังคมอย่างยิ่ง

สำหรับกรณีคอมมานโดนับร้อยนายบุกเข้าจับกุมพุทธะอิสระ หรือพระสุวิทย์ ทองประเสริฐ คาดกุฏิวัดอ้อน้อยในช่วงเช้ามืด

ถือเป็นการปฏิบัติการที่เฉียบขาดรุนแรงถึงขั้นตลบมุ้งจับกุม โดยที่ผู้ต้องหายังคงงัวเงียอยู่บนเตียงนอน

พร้อมแจ้งข้อหาตามหมายจับ ทั้งความผิดเรื่องอั้งยี่ซ่องโจรในสมัยม็อบ กปปส. ที่ใช้ชื่อว่าพญาราชสีห์แห่งเวทีแจ้งวัฒนะ

และอีกข้อหาหนักคือการปลอมแปลงพระปรมาภิไธย ประดิษฐานไว้หลังองค์พระที่จัดสร้างขึ้นโดยไม่ได้รับพระบรมราชานุญาต

คุมตัวสอบสวนให้การปฏิเสธ เจ้าหน้าที่จึงคุมตัวส่งฝากขังศาลอาญาทันที

ขณะที่ศาลไม่ให้ประกัน ส่งผลให้ต้องถูกจับสึก นุ่งขาวแทน แล้วคุมขังไว้ในเรือนจำ

รอคอยการดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรมต่อไป

คอมมานโดบุกจับคามุ้ง

เหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อเช้าตรู่ของวันที่ 24 พ.ค. เมื่อ พล.ต.ต.อภิชาติ สิริสิทธิ์ รองผบช.ก. พ.ต.อ.ภูมินทร์ พุ่มพันธุ์ม่วง ผกก.5.บก.ป. พ.ต.อ.เด่นหล้า รัตนกิจ ผกก.ปพ.บก.ป. นำกำลังคอมมานโดติดอาวุธครบมือกว่า 100 คน บุกเจ้าค้นวัดอ้อน้อย อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม เพื่อเข้าจับกุมพระสุวิทย์ ทองประเสริฐ หรือพุทธะอิสระ อดีตแกนนำม็อบ กปปส.เวทีแจ้งวัฒนะ

โดยกำลังเจ้าหน้าที่บุกเข้าค้นทั้งหมด 4 จุด ประกอบด้วย 1.บริเวณแหล่งผลิตสมุนไพรของวัดอ้อน้อย อาคารอโรคยาเภสัช 2.มูลนิธิธรรมะอิสระ ตรวจเอกสารต่างๆ 3.เจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบฯ ร่วมกันเข้าตรวจค้นที่กุฏิหลวงปู่พุทธะอิสระ กลางทุ่งนา และ 4.โรงทานวัดอ้อน้อย

พร้อมสั่งควบคุมกลุ่มการ์ดที่ประจำการอยู่ในวัดเพราะพบว่ามีอาวุธปืน และตรวจสอบว่าใครกันบ้างที่มีหมายจับติดตัว

ก่อนที่จะบุกเข้าไปถึงกุฏิแล้ววางกำลังล้อมเอาไว้ ก่อนจะตะโกนให้ผู้ต้องหามามอบตัว และระบุว่าเจ้าหน้าที่มาจับกุมคนตามหมายจับ แต่ไม่มีใครเปิดประตู คอมมานโดจึงใช้ค้อนทุบประตูชั้นแรกเข้าไป

เมื่อพบว่ามีประตูอีกชั้นและผู้ต้องหาไม่ยอมเปิดประตู จึงใช้ค้อนทุบอีก พร้อมสั่งการให้ระมัดระวัง เพราะเกรงว่าผู้ต้องหาจะต่อสู้

จนกระทั่งเมื่อเข้าไปถึงห้องนอนของพระสุวิทย์ พบมีคนนอนอยู่ในมุ้ง เมื่อตรวจสอบว่าเป็นพระสุวิทย์ซึ่งเป็นบุคคลตามหมายจับ จึงสั่งให้มอบตัวกับเจ้าหน้าที่ ซึ่งพระสุวิทย์ อยู่ในสภาพไม่ห่มจีวร มีเพียงสบงและอังสะเท่านั้น

พร้อมอ่านหมายจับของศาลอาญาในคดีอั้งยี่ซ่องโจร จากกรณีสั่งการให้กลุ่มการ์ดกปปส. รุมทำร้ายตำรวจสันติบาลที่ลงพื้นที่หาข่าวการชุมนุม พร้อมปล้นทรัพย์ไป เหตุเกิดเมื่อเดือนก.พ. 2557

ส่วนอีกข้อหาคือปลอมพระปรมาภิไธย ภปร. และ สก. เอาไว้หลังพระนาคปรก 1 ในปฐพี

เป็น 2 ข้อหาหนัก

แจงยิบพฤติกรรมอั้งยี่

หลังจับกุมพระสุวิทย์มาจากวัดอ้อน้อยแล้ว คอมมานโดได้คุมตัวมาสอบสวนที่กองปราบปราม ก่อนจะนำไปฝากขังศาลอาญาเป็นเวลา 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 24 พ.ค.-4 มิ.ย.นี้ เนื่องจากการสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น โดยคดีอั้งยี่ซ่องโจรยังจะต้องสอบพยานบุคคลอีกไม่น้อยกว่า 30 ปาก และรอผลตรวจสอบประวัติพิมพ์ลายนิ้วมือผู้ต้องหา กับผลการตรวจพิสูจน์ของกลางจากกองพิสูจน์หลักฐาน

ส่วนคดีปลอมพระปรมาภิไธย ต้องรอสอบปากคำพยานอีก 5 ปาก และรอผลการตรวจลายพิมพ์นิ้วมือ

ทั้งนี้ คำร้องขอฝากขังในคดีอั้งยี่ ซ่องโจร ระบุว่า เมื่อวันที่ 10 ก.พ. 2557 ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาล 3 นาย แต่งกายนอกเครื่องแบบลงพื้นที่หาข่าวม็อบชาวนา ที่หน้ากระทรวงพาณิชย์ จ.นนทบุรี และเดินเท้าไปยื่นเอกสารที่อัยการสูงสุด แจ้งวัฒนะ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่พระสุวิทย์ยึดพื้นที่ชุมนุมอยู่

ระหว่างนั้นมีการ์ด กปปส.เข้ามาขอดูโทรศัพท์ เมื่อทราบว่าเป็นตำรวจนอกเครื่องแบบ จึงทำร้ายร่างกาย มัดมือไพล่หลัง ใช้ผ้าปิดตา โดยมีตำรวจหลบหนีไปได้ 1 คน

จากนั้นการ์ดคุมตัวทั้ง 2 เอาโทรศัพท์มือถือ นาฬิกา สร้อยคอพร้อมพระไปยังข้างเวทีกปปส. บังคับขืนใจให้บอกรหัสปลดล็อกโทรศัพท์และทำร้ายร่างกายด้วยการเตะ ต่อยที่ใบหน้า ศีรษะ ลำตัว ใช้ถุงคลุมศีรษะเพื่อให้ขาดอากาศหายใจ

เมื่อผู้บังคับบัญชาของ 2 ตำรวจขอตัวคืน พระสุวิทย์ก็ให้ไปพบที่บ้านทรงไทย ข้างเวที บอกจะให้กลับแต่ต้องให้ผู้บังคับบัญชามารับ ระหว่างนั้น 3-4 ชั่วโมง กลุ่มการ์ดเปลี่ยนกันซักถาม และทำร้ายร่างกายตำรวจทั้ง 2 ใช้ผ้าเย็นเช็ดหน้า ทาแป้งลบรอยบาดแผล ปิดตา แต่แก้มัด ระบุถ้าหนีจะโดนลูกปืน แล้วพามาพบพระสุวิทย์

จึงรวบรวมหลักฐานขอศาลออกหมายจับฐานใช้ผู้อื่นให้ร่วมกันทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ หรือเพราะเหตุที่จะกระทำตามหน้าที่ จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายและจิตใจ อันทำให้ได้รับอันตรายสาหัส อ้างอำนาจอั้งยี่ หรือซ่องโจร เป็นผู้อื่นให้ปล้นทรัพย์ให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจ เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส

เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 296, 298, 310 วรรคสอง, 309 วรรคสองและวรรคสาม, 339 วรรคสอง, 340 วรรคแรกและวรรคสาม, 213 ประกอบ ม.84

อีกข้อหาปลอมพระปรมาภิไธย

ส่วนคำร้องฝากขังคดีปลอมพระปรมาภิไธยระบุพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อวันที่ 10 เม.ย.60 นายวิชัย ประเสริฐสุดสิริ เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน กก.5 บก.ป. ให้ดำเนินคดีกับผู้ต้องหาที่นำอักษรพระปรมาภิไธย ภ.ป.ร. และอักษรพระนามาภิไธย ส.ก. มาประดิษฐานหลังองค์พระเครื่องนาคปรก รุ่นหนึ่งในปฐพี โดยไม่ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9

โดยนายวิชัย ผู้กล่าวหา ตรวจพบทางเว็บไซต์ว่าพระเครื่องดังกล่าว มีการสร้างเมื่อช่วงเข้าพรรษาปี 2554 บรรจุปรอทเมื่อวันที่ 15 ส.ค. 2554 ซึ่งถือว่าเป็นวันที่สร้างพระสำเร็จ ผู้กล่าวหาเห็นว่าการกระทำดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ปลอมขึ้นซึ่งพระปรมาภิไธย และใช้พระปรมาภิไธยที่มีการปลอมขึ้น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, 250, 252

การสอบสวนพยานบุคคล พร้อมทั้งตรวจสอบไปยังสำนักพุทธศาสนายืนยันตรงกันว่า ผู้ต้องหาไม่ได้รายงานขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต ตามกฎระเบียบของมหาเถรสมาคม และจากการสอบสวนพยานบุคคลเจ้าหน้าที่กรมราชเลขานุการในพระองค์ ยืนยันว่าผู้ต้องหาไม่ได้ขออนุญาตใช้พระปรมาภิไธยย่อ และอักษรย่อพระนามาภิไธย จึงแจ้งข้อหาฐานปลอมขึ้นซึ่งพระปรมาภิไธย และใช้พระปรมาภิไธยที่มีการปลอมขึ้น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 250, 252

ทั้งนี้ ศาลอาญามีคำสั่งยกคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีความหนัก-เบาของข้อหา คดีอั้งยี่ซ่องโจรมีอัตราโทษจำคุกสูง และยังมีความผิดในข้อหาปลอมพระปรมาภิไธยอีก หากปล่อยตัวชั่วคราว อาจไปยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน จึงไม่อนุญาตปล่อยตัว

ส่งผลให้ต้องนิมนต์พระจากวัดเสมียนนารี สึกออกจากความเป็นพระ

ส่งคุมตัวในเรือนจำพิเศษกรุงเทพ

เปิดประวัตินำม็อบกปปส.

สำหรับพระพุทธะอิสระ เป็นพระวัดอ้อน้อย อ.สามพราน จ.นครปฐม เข้าร่วมการชุมนุมของกลุ่มกปปส. โดยแยกมาตั้งเวทีที่ถนนแจ้งวัฒนะ ไม่ให้ข้าราชการและประชาชนเข้าไปใช้บริการศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ

ระหว่างการชุมนุมมีพฤติกรรมรุนแรงหลายครั้งจากกรณีที่การ์ดม็อบไปทำร้ายประชาชน ทหาร และเจ้าหน้าที่ ที่สัญจรผ่านไปมา ส่วนใหญ่เป็นเพราะไปขยับกรวยที่ตั้งขวางถนน กลายมาเป็นที่มาของคำว่ากรวยศักดิ์สิทธิ์

นอกจากนี้ ยังนำกลุ่มผู้ชุมนุมออกดาวกระจาย ปิดสถานที่ต่างๆ อาทิ โรงแรมเอสซีปาร์ค โดยอ้างว่ามาจองห้องพัก และจะให้ผู้ชุมนุมเปลี่ยนหน้ากันเข้าพัก จนทำให้ผู้จัดการโรงแรมต้องมาขอร้อง โดยพุทธะอิสระพร้อมนำม็อบกลับ แต่เรียกเงินค่าความเสียหาย 1.2 แสนบาท

ไม่เพียงแค่นั้น ยังนำกลุ่มผู้ชุมนุมไปปิดล้อมสถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวี ถนนวิภาวดีรังสิต เรียกร้องให้บรรณาธิการมาขอโทษในการเสนอข่าวม็อบกปปส. จนทำให้ผู้ดำเนินรายการ ผู้สื่อข่าวต้องปีนกำแพงหลบหนีกันอย่างวุ่นวาย

รวมทั้งการนำผู้ชุมนุมไปขัดขวางการขนย้ายหีบเลือกตั้งของเขตหลักสี่ เมื่อวันที่ 1 ก.พ. 2557 นำมาซึ่งการปะทะของกลุ่มมือปืนป๊อบคอร์น มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต

หลังม็อบ กปปส. พุทธะอิสระ ยังมีบทบาทอีกหลายด้าน อาทิ โทรศัพท์คุยกับผอ.สำนักพุทธฯ ให้ดำเนินการปลดเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย และตั้งรักษาการเจ้าอาวาสคนใหม่ รวมทั้งการมอบเข่งใส่สิ่งปฏิกูลให้แก่กรรมการมหาเถรสมาคม เพื่อคัดค้านการเสนอชื่อ สมเด็จช่วง สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ เป็นผู้เหมาะสมดำรงตำแหน่งสังฆราช

ออกแรงเชียร์รัฐบาลคสช.มาตั้งแต่การรัฐประหาร 22 พ.ค. 2557

ล่าสุดเจอ 2 ข้อหาหนัก สึกจากความเป็นพระ ถูกคุมตัวในเรือนจำ

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน