อนงค์ วงศ์ช่วย – เรื่อง/ภาพ

หลังการหายตัวไปอย่างลึกลับเป็นเวลากว่า 1 สัปดาห์ ของ เจ๊อ้อย หรือ น.ส.ภิญญดา แป้นจันทร์ อายุ 48 ปี เศรษฐินีสาวชาวสงขลา เจ้าของธุรกิจขายตรงเครื่องสำอางและขายประกัน ญาติพยายามออกตามหาตัว รวมถึงไปแจ้งความกับตำรวจ สภ.เมืองสงขลา ในที่สุดปริศนาก็ถูกคลี่คลายกลายเป็นเหตุสยองขวัญ

เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. ร.ต.อ.เฉลิมชัย เต็มพร้อม รองสารวัตร (สอบสวน) สภ.คอหงส์ จ.สงขลา รับแจ้งพบศพถูกเผานั่งยางบริเวณป่าพรุและทุ่งนาร้าง อยู่ห่างจากถนนเลียบคลองระบายน้ำ ร.5 เข้าไปประมาณ 10 เมตร พื้นที่บ้านท่านางหอม อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา จึงรายงานผู้บังคับบัญชาทราบ ก่อนรุดไปตรวจสอบพร้อมด้วย พล.ต.ต.ปรีดา เปี่ยมวารี ผบก.ภ.จว.สงขลา พ.ต.อ.สืบสกุล มณีนวล ผกก.(สอบสวน) บก.สส.ภ.9 พ.ต.อ.พงษ์พันธ์ จันทรอาภา ผกก.สภ.คอหงส์ พ.ต.ท.พัชรพล จึงตระกูล รอง ผกก.ป. พ.ต.ต.อดินันท์ วงศ์หมัดทอง สวป.

ที่เกิดเหตุมีร่องรอยของการเผาเหลือเพียงกองเถ้าถ่าน พร้อมกับเศษลวดยางรถจยย. นอกจากนี้ ยังพบแหวนเพชรอยู่ในกองเถ้าถ่าน 1 วง ตรวจสอบบริเวณโดยรอบ พบเศษกะโหลกศีรษะที่ถูกทุบจนเป็นชิ้นเล็กๆ และเศษกระดูกส่วนอื่นๆ ของร่างกายที่แตกละเอียดจนไม่สามารถนำมาต่อเป็นรูปร่างได้

ขณะเดียวกันพบว่ามีฟันปลอมตกอยู่ในพงหญ้า โดยคาดว่าศพถูกเผาจนไหม้หมดแล้วนำเศษกระดูกที่เหลือไปทุบให้แตกละเอียด ก่อนทิ้งในพงหญ้าเพื่อทำลายหลักฐานไม่ให้ตรวจสอบได้ว่าเป็นใคร นอกจากนี้ในบริเวณเดียวกันยังพบยางรถจยย.ที่ยังไม่ได้เผาอีก 1 เส้น เจ้าหน้าที่จึงรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน

ระหว่างนั้นมี นางปวีณา ขุนทรงอักษร อายุ 58 ปี พร้อมญาติเดินทางมายังที่เกิดเหตุ หลังตรวจสอบแหวนเพชรและฟันปลอม เจ้าตัวก็ก็ยืนยันทันทีว่า ผู้ตายเป็นน้องสาวชื่อ น.ส.ภิญญดา แป้นจันทร์ หรือ อ้อย อายุ 48 ปี หายตัวไปตั้งแต่วันที่ 23 พ.ค. และได้แจ้งความไว้ที่ สภ.เมืองสงขลา พร้อมให้การว่าน.ส.ภิญญดา เป็นคนหน้าตาดี มีฐานะ โดยประกอบธุรกิจขายตรงและขายประกัน ซึ่งทางญาติสงสัยว่าสามีเก่าของน.ส.ภิญญดา ที่หย่าร้างกันไปแล้ว แต่ได้กลับมาอยู่ที่บ้านหลังเดียวกัน แต่ไม่ใช่ในฐานะสามี-ภรรยา ว่าอาจมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย เนื่องจากหายตัวไปติดต่อไม่ได้

 

วันรุ่งขึ้น พ.ต.อ.สืบสกุล มณีนวล ผู้กำกับการ(สอบสวน) สภ.คอหงส์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เปิดเผยว่า ขั้นตอนของคดียังอยู่ระหว่างการส่งเศษกระดูกที่พบไปให้แพทย์ฝ่ายนิติเวชโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ตรวจพิสูจน์ เพื่อยืนยันเอกลักษณ์บุคคลว่าเป็นศพของ น.ส.ภิญญดา จริงหรือไม่ จากนั้นก็จะนำไปสู่ขั้นตอนของการออกหมายจับผู้ต้องสงสัย ซึ่งเจ้าหน้าที่มีข้อมูลพร้อมหมดแล้ว ซึ่งน่าจะเป็น นายกฤษฎา ไหมขาว หรือ โรจน์ อดีตสามีตามที่ญาติๆให้ข้อมูลว่าเป็นคนที่อยู่กับ ผู้ตายเป็นคนสุดท้าย

ขณะที่ตำรวจลงพื้นที่ตรวจสอบที่บ้านของเจ๊อ้อยอย่างละเอียด เพื่อหาหลักฐานมัดตัวคนร้าย ขณะที่การสอบปากคำพยานก็ให้ข้อมูลว่าคืนก่อนที่เจ๊อ้อยจะหายตัวไปได้ยินเสียงทั้งคู่ทะเลาะกัน จากนั้นนายกฤษฎาก็ขับรถเบนซ์ ซี 200 สีดำ ทะเบียน ขค 333 สงขลา ของเจ๊อ้อยออกจากบ้านไป กระทั่งเช้าอีกวันเมื่อเจ้าตัวกลับเข้ามาบ้านก็ลงมือล้างรถเป็นการใหญ่ ไม่เว้นแม้แต่ในฝากระโปรง ท้ายรถ

ตํารวจรวบรวมพยานหลักฐานไปขออนุมัติหมายจับจากศาลจังหวัดสงขลา พร้อมระดมไล่ล่าติดตามตัวนายกฤษฎาอย่างกระชั้นชิด

หลังถูกไล่ล่ากดดันหนัก ในที่สุด นายกฤษฎา ก็เข้ามอบตัวกับตำรวจ ที่โรงพักเมืองสงขลา 09.00 น. วันที่ 4 มิ.ย. พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รอง ผบ.ตร. บินด่วนลงไปร่วมสอบสวน พร้อมด้วยพล.ต.ท.รณศิลป์ ภู่สาระ ผบช.ภ.9 พล.ต.ต.เอกภพ ประสิทธิ์วัฒนะชัย รอง ผบช.ภ.9 พล.ต.ต.ปรีดา เปี่ยมวารี ผบก. จ.สงขลา

พล.ต.อ.วิระชัยกล่าวว่า นายกฤษฎายังให้การปฏิเสธ แต่คดีนี้มีหลักฐานนิติวิทยาศาสตร์ที่สามารถยืนยันตัวคนร้ายได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้จากการตรวจสอบที่บ้านซึ่งคาดว่าเป็นสถานที่ลงมือสังหาร ยังพบว่านอกจากรถเบนซ์ที่หายไปแล้ว ยังมีรถกระบะ 2 คัน และรถจักรยานยนต์บิ๊กไบก์ 1 คันหายไปด้วย

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งข้อหา “ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา กระทำการใดๆ กับศพเพื่ออำพรางคดี ทำลายศพหรือส่วนใดของศพ และลักทรัพย์ในเวลากลางคืน” หลังจากนี้จะมอบตัวให้กับพนักงานสอบสวนคุมตัวสอบปากคำเพิ่มเติม 48 ชั่วโมง ก่อนนำตัวฝากขังผัดแรกที่ศาลจังหวัดสงขลา โดยจะคัดค้านการประกันตัวทั้งในชั้นสอบสวนและศาล เนื่องจากเกรงว่า ผู้ต้องหาจะออกไปทำลายพยานหลักฐาน หรือข่มขู่พยาน

ขณะเดียวกันตำรวจก็ตามไปยึดรถเบนซ์ของเจ๊อ้อยได้ที่บ้านญาติของนายกฤษฎา ที่ อ.สิงหนคร ซึ่งเจ้าหน้าที่พฐ.ดำเนินการตรวจสอบอย่างละเอียด ก่อนพบหลักฐานโคลนที่ล้อ เส้นผมและคราบเลือด

13.30 น. วันที่ 5 มิ.ย. พ.ต.อ.เอกณรงค์ สวัสติกานนท์ ผกก.สภ.เมืองสงขลา พร้อมพนักงานสอบสวน ควบคุมตัวนายกฤษฎาไปผัดฟ้องฝากขังผัดแรกที่ศาล จ.สงขลา ระหว่างการนำตัวไปฝากขัง นายกฤษฎายังมีสีหน้าและท่าทีที่เรียบเฉย โดยมีตำรวจดูแลอย่างใกล้ชิด

จะฆ่าหรือไม่ได้ฆ่า หรือว่าฆ่าเพราะอะไร คงต้องไปว่ากันในชั้นศาล

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน