สดจากสนามข่าว

หนึ่งฤทัย หนูสวัสดิ์ – เรื่อง/ภาพ

เหตุการณ์คนร้ายบุกเดี่ยวปล้นรถขนเงินธนาคารกรุงไทย หน้าตู้เอทีเอ็มกลางปั๊มน้ำมันที่ จ.สุพรรณบุรี กวาดเรียบเงินสดกว่า 5 ล้านบาท คนร้ายเตรียมการมาอย่างดี ลงมือหมดจดไร้ร่องรอย แถมวางแผนหลอกล่อ เจ้าหน้าที่ตำรวจ จนแทบหัวปั่น แต่ใครจะเชื่อว่าจะมาตกม้าตาย ถูกจับได้เพียงเพราะกระดาษใบเดียว

11.45 น. วันที่ 21 พ.ย. นายเมธี หนูเทศ อายุ 38 ปี กับพวกซึ่งเป็นพนักงานรถขนเงิน ของธนาคารกรุงไทย ต้องพากันตกใจสุดขีดเมื่อจู่ๆ มีคนร้าย 1 คน ใส่เสื้อแจ๊กเกตสีน้ำตาล สวมหมวกกันน็อกสีขาว ขี่รถจักรยานยนต์แบบผู้หญิง ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน ใช้อาวุธปืนเป็นอาวุธจี้ชิงกระเป๋าเงินสดที่เตรียมนำมาเติมใส่ตู้เอทีเอ็ม ในปั๊มน้ำมันปตท. ถนนสายวัดไผ่โรงวัว-สองพี่น้อง หมู่ 3 ต.บางเลน อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี

ใช้เวลาลงมือไม่ถึงนาที คนร้ายได้เงินสดไปจำนวน 5,130,000 บาท ก่อนหลบหนีไปยังได้ยิงปืนขึ้นฟ้า เพื่อข่มขู่ ก่อนหลบหนีลอยนวล

พล.ต.ต.สุทธิพงษ์ วงษ์ปิ่น รรท.ผบช.ภ.7 พร้อมด้วย พล.ต.ต.สุคุณ พรหมายน รรท. ผบก.ภ.จว.สุพรรณบุรี พ.ต.อ.อนุชิต สุรพินิจ ผกก.สส.ภจว.สุพรรณบุรี พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.สองพี่น้อง รุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุทันทีหลังรับแจ้ง พร้อมสั่งการวิทยุสกัดจับ แต่คนร้ายกลับหายไปอย่างไร้วี่แวว

ชุดสืบสวนสอบปากคำพยานแวดล้อม พบว่ามีคนถ่ายคลิปวิดีโอเอาไว้ได้ ขณะคนร้ายยิงปืนขึ้นฟ้าและหลบหนีท่ามกลางความแตกตื่นของผู้คนในปั๊มน้ำมัน ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ตรวจสอบกล้องวงจรปิดในปั๊มเพื่อเร่งหาเบาะแสผู้ก่อเหตุ ก่อนจะพบโทรศัพท์มือถือของคนร้ายที่ทำตกเอาไว้

นับเป็นเบาะแสชั้นดีที่คนร้ายพลาดอย่างแรง ชุดสืบสวนตรวจสอบเบอร์โทร.เข้าออกที่บันทึกอยู่ในเครื่อง ก่อนไปเชิญตัวบุคคลทั้งหมดมาสอบสวนหาตัวเจ้าของมือถือ แต่แทนที่จะได้ข้อมูลคนร้ายกลับกลายเป็นว่า ทุกคนให้การเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่รู้จักเบอร์ที่โทร.เข้ามา รวมทั้งไม่ได้พูดคุยกันเพียงแค่รับสายปลายทางก็วางหูไปโดยไม่ได้พูดอะไรเลย

คดีที่คิดว่าหมูกลับไม่เป็นอย่างที่คิด กลายเป็นว่าคนร้ายจงใจทิ้งโทรศัพท์มือถือเอาไว้ในที่เกิเดเหตุ เพื่อให้เจ้าหน้าที่หลงทาง เสียเวลาตรวจสอบและเป็นการซื้อเวลาไปในตัวด้วย นับว่ามีการวางแผนมาอย่างแยบยลพอตัว
2
เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ส่งพล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รองผบ.ตร. พล.ต.ท.สุวิระ ทรงเมตตา รรท.ที่ปรึกษา (สบ10) นำกำลังตำรวจกองปราบปรามลงพื้นที่ช่วยชุดสืบสวนภาค 7 ชุดสืบสวน ภ.จว.สุพรรณบุรี และสืบสวนสภ.สองพี่น้อง คลี่คลายคดี ชนิดเรียกประชุมวางแผนติดตามคนร้ายกันกลางดึกเลยทีเดียว

ทิ้งมือถือเอาไว้หวังจะให้ตำรวจหลงทาง แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นดาบสองคม เมื่อรุ่งขึ้นกำลังตำรวจกองปราบปรามนำโดย พ.ต.อ.ภูมินทร์ พุ่มพันธุ์ม่วง ผกก.5 บก.ป. ส่งทีมไปตรวจสอบเบาะแสที่ได้จากซิมการ์ดในโทรศัพท์ จนพบว่าเป็นแบบเติมเงิน ที่เพิ่งจดทะเบียนซื้อมาได้ไม่นาน เมื่อสืบย้อนกลับไปก็รู้ถึงชื่อผู้จดทะเบียนและร้านที่ขายมือถือ

ตร.ไม่รอช้ารีบไปตรวจสอบที่ร้านขาย จนได้หลักฐานเด็ดว่าโทรศัพท์มือถือยี่ห้อซัมซุง รุ่นฮีโร่ ซึ่งตกในที่เกิดเหตุ มีผู้ซื้อโทรศัพท์พร้อมทั้งซื้อซิมการ์ดโดยใช้ชื่อบุคคลหนึ่งซึ่งมีที่อยู่อาศัยใกล้ละแวกที่เกิดเหตุมาลงทะเบียน

เมื่อตามไปสืบที่ร้านขายมือถือ ก็ได้ข้อมูลว่ามีชายคนหนึ่งคัดทะเบียนราษฎร์ (ทร.14) ของ น.ส.มณีรัตน์ ใจตรง ชาว จ.ชลบุรี มาขอซื้อเครื่องและลงทะเบียนเปิดเบอร์ใหม่ในระบบเติมเงิน แต่ข้อมูลไม่ครบถ้วนชัดเจนจึงใช้เปิดเบอร์ไม่ได้ สุดท้ายทางร้านหวังดีนำเอกสารของคนที่รู้จักมาขอจดทะเบียนให้แทน

แต่หลักฐานเด็ดที่ใช้น็อกคนร้ายคือ หลังได้มือถือเป็นที่เรียบร้อย เจ้าตัวลืมเอกสารทะเบียนราษฎร (ทร.14) ของ น.ส.มณีรัตน์ ทิ้งเอาไว้ที่ร้าน ซึ่งเมื่อตร.ตรวจสอบข้อมูลกับทางเว็บไซต์ของกรมการปกครอง ก็พบว่าผู้ที่เข้าไปขอคัดสำเนาไปซื้อโทรศัพท์คือ ส.ต.ต.วิฑูรย์ เพชรปานกัน อายุ 24 ปี ผบ.หมู่ สืบสวน สภ.บ้านบึง จ.ชลบุรี อดีตตร.ดีเด่นของ สภ.บ้านบึง

วันเดียวกัน ผกก. 5 บก.ป. นำทีมบุกไปควบคุมตัวส.ต.ต.วิฑูรย์ เอาไว้ได้ก่อนนำตัวมาสอบสวนที่ บก.สืบสวน ภ.7 เบื้องต้น ส.ต.ต.วิฑูรย์ ให้การยอมรับว่า เป็นผู้คัด ทร.14 ของ น.ส. มณีรัตน์ แล้วนำไปให้กับนายชัยเดช เพ็ชรปานกัน ซึ่งเป็นพี่ชาย โดยวางแผนใช้โทรศัพท์เครื่องนี้ โทร.หาคนที่ไม่ถูกกัน และจะทิ้งเครื่องโทรศัพท์เอาไว้เพื่ออำพราง

ส.ต.ต.วิฑูรย์ เปิดปากยอมรับว่านอกจากตนกับพี่ชายแล้ว ยังมีผู้ร่วมในแผนการอีก 3 คน มี นายสมนึก สมสวย อายุ 35 ปี คนดูต้นทาง นายสุเชาว์ แจ้งดี ทำหน้าที่ซื้อโทรศัพท์มือถือและซิมการ์ด และนายตูน เจ้าของปืนที่ใช้ก่อเหตุ

เจ้าตัววางแผนให้นายสมนึก ปลอมเป็นพ่อค้าขายป๊อปคอร์นเข้าไปเช่าที่ขายในปั๊มที่เกิดเหตุนานร่วมเดือน โดยให้คอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่รถขนเงิน พอถึงวันลงมือก็เป็นคนส่งสัญญาณให้นายชัยเดช ซึ่งตนได้นำเสื้อเกราะของหลวงและอาวุธปืนที่ยืมมาจากนายตูนมาให้ใช้ลงมือก่อเหตุ

เช้ามืดวันที่ 25 พ.ย. กำลังตำรวจทุกหน่วยปูพรมตรวจค้นพื้นที่ต้องสงสัย จนพบรถจักรยานยนต์ จอดอยู่ในบ้านร้างในป่าละเมาะ บ้านไผ่บ่อยา ม.2 ต.ดอนมะนาว อ.สองพี่น้อง และยังพบหมวกกันน็อก กางเกง รองเท้า ถูกทิ้งไว้ในอ่างน้ำของห้องน้ำ เจ้าหน้าที่จึงเก็บไว้ตรวจสอบ

สุดท้ายนายชัยเดชและนายสมนึก ก็ถูกเจ้าหน้าที่ติดตามรวบตัวได้ระหว่างหลบซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่ จ.สุพรรณบุรี พร้อมเงินสดราว 5 แสนบาท ก่อนจะนำตัวไปตรวจค้นจนพบกล่องเงิน ที่นายชัยเดชนำไปโยนทิ้งในบ่อน้ำ ห่างจากปั๊มน้ำมันที่ก่อเหตุประมาณ 10 ก.ม. แต่ไม่พบเงินที่เหลือ

ตร.สอบเค้นจนรู้จุดบ่อน้ำที่นำเงินไปโยนไว้ เจ้าหน้าที่กู้ภัยมูลนิธิเสมอกันสุพรรณบุรี ชุดประดาน้ำ ค้นหา นานกว่า 3 ชั่วโมง ในที่สุดก็เจอกระเป๋าเป้ใส่เงินดังกล่าว ทั้งหมดมีสภาพเปียกน้ำ ต้องคลี่นับกันทีละใบ จนได้ยอดเงิน จำนวน 4,586,100 บาท ครบตามจำนวนที่ถูกปล้นไป

แม้นวางแผนอย่างแยบยล แต่ดังคำกล่าวที่ว่า “ไม่มีอาชญากรรมใดสมบูรณ์แบบ ทุกคดีย่อมทิ้งร่องรอยเอาไว้เสมอ” หากมองเห็นก็สามารถติดตามจับกุมคนร้ายปิดคดีได้ในที่สุด

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน