นับเป็นเรื่องเศร้าสลดที่เกิดขึ้นในสังคมอย่างแท้จริง

สำหรับกรณีที่หนุ่มใหญ่วัย 52 ตัดสินใจจบตัวเองด้วยการกระโดดลงมาจากชั้น 8 ของศาลอาญา

หลังจากการฟังคำพิพากษาสั่งยกฟ้องจำเลย ในคดีใช้มีดแทงลูกชายเสียชีวิต ในช่วงงานเทศกาลสงกรานต์เมื่อปี 2559

เนื่องจากพยานหลักฐานต่างๆ มีน้ำหนักไม่เพียงพอจะลงโทษจำเลยได้

นำมาซึ่งการแถลงชี้แจงขั้นตอนการทำงานของทั้งศาล และพนักงานอัยการ

ตามมาด้วยสั่งการของระดับบิ๊กตร.ตั้งแต่ระดับผบ.ตร.จนถึงผบช.น. ให้ตั้งกรรมการพิจารณาสำนวนว่ามีขั้นตอนไหนขาดตกบกพร่อง

เพื่อนำข้อมูลมาใช้ในชั้นศาลอุทธรณ์ที่จะต้องดำเนินการตามกระบวนการต่อไป

เพื่อให้ความยุติธรรมเกิดขึ้นให้จงได้

สลดพ่อโดดตึก-ยกฟ้องคดีลูก

เหตุสลดครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อช่วงเช้าวันที่ 23 ก.ค. เมื่อเจ้าหน้าที่รปภ.ศาลรับแจ้งเหตุมีชายคนหนึ่งกระโดดลงมาจากชั้น 8 ของอาคารศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ร่างกระแทกพื้นเสียชีวิต อยู่ที่ฟุตปาธด้านล่างอาคารศาลอาญา สภาพศพสวมเสื้อแขนยาวลายสีน้ำเงิน

ต่อมาทราบชื่อผู้ตายคือ นายศุภชัย ทัฬหสุนทร อายุ 52 ปี ซึ่งเดินทางมาที่ศาลพร้อมภรรยา เพื่อฟังคำพิพากษาในคดีที่ นายธนิต ทัฬหสุนทร ลูกชายถูกแทงเสียชีวิต เหตุเกิดในช่วงเทศกาลสงกรานต์เมื่อปี 2559

ทั้งนี้คำฟ้องในคดีดังกล่าว ระบุพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อวันที่ 15 เม.ย. 2559 เวลากลางคืน หลังเที่ยง นายณัฐพงษ์ จำเลย กับนายอาร์รีชัย หรือเบนซ์ หรืออาร์ม บุดดาวงค์ พวกของจำเลย ร่วมกันพาอาวุธมีดพกปลายแหลมขนาดยาวประมาณ 1 ฟุต จำนวน 1 เล่มติดตัวไปในบริเวณปากซอยประชาสงเคราะห์ 1 ถ.ประชาสง เคราะห์

โดยร่วมกันมีเจตนาฆ่า นายธนิต ทัฬหสุนทร ให้ถึงแก่ความตาย และร่วมกันชกต่อยนายธนิตที่บริเวณใบหน้าและลำคอหลายครั้ง

ก่อนที่จะร่วมกันใช้อาวุธมีดพกปลายแหลมที่พกติดตัวมาแทงประทุษร้ายนายธนิตหลายครั้ง แทงถูกที่บริเวณไหล่ซ้ายลึกทะลุผ่านเนื้อเยื่อและกล้ามเนื้อ และทะลุ เข้าเส้นเลือดแดงบริเวณใต้ไหปลาร้าข้างซ้าย

เป็นเหตุให้นายธนิตได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงแก่ความตาย โดยศาลนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 23 ก.ค. ซึ่งโดยมีคำพิพากษายกฟ้อง

หลังจากรับฟังคำให้การ นายศุภชัยก็เดินออกจากห้องพิจารณา โดยนางเรวดี ทัฬหสุนทร ภรรยา ระบุว่าคิดว่าสามีจะเดินไปห้องน้ำ เพราะก่อนฟังคำพิพากษายังอารมณ์ดีร่าเริง และไม่มีลางบอก เหตุใดๆ

แต่แล้วก็มารู้ว่าสามีกระโดดลงจากตึกฆ่าตัวตาย พริบตานั้นก็คิดจะกระโดดดึกฆ่าตัวตายบ้าง แต่มีคนดึงเอาไว้ทัน

พร้อมวอนขอความเป็นธรรมจากผู้มีอำนาจ ระหว่างการทำคดีตำรวจบอกให้ครอบครัวหาหลักฐานมาเอง สามีถึงขั้นลาออกจากงานประจำมาติดตามคดีและหาหลักฐาน กังวลปัญหาเรื่องผู้มีอิทธิพล ทำให้ไม่มีใครกล้าให้ข้อมูล หรือเป็นพยาน เพราะไม่อยากเดือดร้อน

ทำให้จนปัญญาแล้วจริงๆ

 

ศาลแจงตัดสินตามหลักฐาน

ภายหลังเหตุการณ์ นายสุริยัณห์ หงษ์วิไล โฆษกศาลยุติธรรม แถลงถึงกรณีดังกล่าวว่า รายละเอียดคำพิพากษาคดีฆ่าผู้อื่นฯ หมายเลขดำ อ.1089/60 ที่พนักงานอัยการคดีอาญา 4 เป็นโจทก์ฟ้อง นายณัฐพงษ์ เงินคีรี เป็นจำเลยในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นฯ กรณีเมื่อวันที่ 15 เม.ย.2559 เวลากลางคืน

จำเลยใช้อาวุธมีดปลายแหลมแทงบริเวณร่างกายนายธนิต ทัฬหสุนทร จนถึงแก่ความตาย ก่อนหลบหนีไป เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 371 ประกอบ 83 เหตุเกิดบริเวณ ถ.ประชาสง เคราะห์ 1 ดินแดง กทม. จำเลยให้การปฏิเสธ ต่อสู้คดีว่าไม่ใช่ผู้กระทำผิด

โดยคดีนี้ศาลอาญามีคำพิพากษายกฟ้อง เหตุผลโดยสรุปคือ ประจักษ์พยาน ที่อ้างว่าเห็นเหตุการณ์และให้การไว้ในชั้นสอบสวน ไม่อาจมาเบิกความในชั้นศาลได้ เนื่องจากอยู่ระหว่างการรักษาอาการป่วยทางจิตที่โรงพยาบาล จึงต้องรับฟังคำให้การชั้นสอบสวนที่นำส่งในชั้นศาลประกอบพยานหลักฐานอื่น

แต่พยานหลักฐานอื่นยังมีน้ำหนักไม่เพียงพอที่จะฟังลงโทษจำเลยได้ เช่นภาพถ่าย จากกล้องวงจรปิดพบว่าช่วงเวลาที่เกิดเหตุเป็นช่วงเทศกาลสงกรานต์ซึ่งมีผู้คนจำนวนมาก

นอกจากนี้ภาพจากกล้องวงจรปิดที่ปรากฏในชั้นศาลนั้น เห็นเเต่เพียงเหตุการณ์ปากทางเข้าซอยที่เกิดเหตุ เเต่ไม่สามารถบันทึกภาพบริเวณจุดเกิดเหตุไว้ได้ เมื่อพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว จึงมี คำพิพากษายกฟ้อง

“อย่างไรก็ตามคดีนี้ เป็นเพียงการพิจารณาพิพากษาของศาลชั้นต้นเท่านั้น ฝ่ายโจทก์ยังสามารถยื่นอุทธรณ์ต่อสู้คดีตามกฎหมายได้ต่อไป

ซึ่งในชั้นอุทธรณ์ ผู้พิพากษาที่ปฏิบัติหน้าที่ก็จะพิจารณาไปตาม พยานหลักฐานที่ปรากฏในสำนวนโดยปราศจากความกดดันหรือคติใดๆ ขอยืนยันว่าศาลจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด และเชื่อมั่นว่าเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ทำหน้าที่ของตนเองมาอย่างดีที่สุดแล้ว”

โฆษกศาลยุติธรรมกล่าวว่า ขอเรียนว่ากระบวนการยุติธรรมทางอาญา เราต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นผู้เสียหายหรือจำเลยในคดี การพิจารณาพิพากษาก็ดูจากพยานหลักฐานในสำนวน ชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานตามกฎหมาย

เป็นคำยืนยันจากศาลยุติธรรม

ตร.ตั้งกรรมการรื้อคดี

ขณะที่ความเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่ถูกมองว่าเป็นต้นทางของกระบวนการยุติธรรมนั้น พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ระบุว่า สั่งการพล.ต.ท.ชาญเทพ เสสะเวช ผบช.น.แล้วว่าจะต้องไปดูรายละเอียดจากสำนวนเดิมก่อนว่าเป็นอย่างไร เราให้ความเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย

ส่วนเรื่องนี้จะกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อตำรวจหรือไม่นั้น ต้องกลับไปดูสำนวนเก่าก่อน ซึ่งผบช.น.รับปากแล้วว่าจะไปดูที่มาที่ไปของคดีก่อนว่ามีอย่างไร

นอกจากนี้ก็ต้องพิจารณาว่าการทำสำนวนเป็นอย่างไร รอบคอบ ละเอียดหรือไม่ หากมีตรงไหนบกพร่องในสำนวนก็ค่อยว่ากัน

ด้านพล.ต.ท.ชาญเทพก็ระบุว่า เรียกหัวหน้างานสอบสวน สน.ดินแดง มาพบแล้ว และตรวจสอบสำนวน ส่วนจะขาดตกบกพร่องหรือไม่ก็ต้องดูคำพิพากษาศาลว่าเป็นอย่างไร ตรงไหนขาดตกบกพร่อง พร้อมตั้งคณะทำงานเพื่อดูแลคดี โดยมีรองผบช.น.รับผิดชอบ

เพื่อที่จะช่วยเหลือผู้เสียหายก่อนจะเข้าสู่ขั้นตอนอุทธรณ์ ซึ่งให้เวลาทำงาน 15 วัน ยืนยันไม่ใช่การหาคนผิด

“คดีที่ศาลยกฟ้องมีคดีเดียวหรือไม่ แต่บังเอิญพ่อของเด็กที่เสียชีวิตคาดหวังมาก และผิดหวังในคำตัดสิน จึงเกิดเหตุสลดขึ้น ถามว่า 100 คดีจะสามารถหาพยานหลักฐานให้ครบทั้งหมดก็ไม่ใช่ง่าย เราต้องให้ความเป็นธรรมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย”

ส่วน พล.ต.ต.สมพงษ์ ชิงดวง รองผบช.น. หัวหน้าคณะทำงาน ระบุว่า จะดูว่าที่มีข้อบกพร่องส่วนไหนบ้างและมีจุดอ่อนอย่างไร ทั้งนี้ต้องให้พนักงานสอบสวนไปขอคัดคำพิพากษามาเพื่อประกอบ ตามหลักกฎหมายหากไม่มีพยานหลักฐานใหม่การรื้อฟื้นคดีค่อนข้างยาก แม้ศาลชั้นต้นพิพากษาแล้วก็ยังมีชั้นอุทธรณ์และศาลฎีกา

ชุดทำงานจะดูส่วนที่พนักงานสอบสวนทำมายังมีจุดอ่อนตรงไหนอย่างไร

ส่วนที่ผู้เสียหายบอกว่าตำรวจให้ไปหาพยานหลักฐานเอง ก็ต้องเรียกชุดทำงานมาสอบถามว่าจริงหรือไม่ แต่ยืนยันว่าตำรวจไม่ได้ทำสำนวนอ่อนเพื่อช่วยเหลือใคร แต่ความยากง่ายของคดีอยู่ที่พยานหลักฐาน ถ้าพยานไม่ถึงจะไปปั้นพยานหลักฐานไม่ได้ ต้องทำงานแบบมืออาชีพตามหลักของกฎหมาย

เป็นคำชี้แจงจากฝ่ายตำรวจ

1 ในจำเลยปฏิเสธ-ยันบริสุทธิ์

ขณะที่นายณัฐพงษ์ หรือ โจ้ เงินคีรี 1 ในผู้ต้องหาฆ่านายธนิต เปิดเผยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อ 2 ปีที่แล้วว่า วันเกิดเหตุตนกับแฟนเดินมาเล่นน้ำสงกรานต์ที่หน้าปากซอย สักพักเห็นว่ามีคนโวยวาย เมื่อมองไปด้านขวาก็พบว่านายธนิตตบหน้านายเบนซ์ ผู้ต้องหาอีกคน และเพื่อน ซึ่งตนไม่รู้จัก ต่อมาก็มีคนบอกให้เคลียร์กัน มีการยกมือไหว้กันเรียบร้อย

จากนั้นตนก็ไปปัสสาวะที่ตู้โทรศัพท์ แล้วมานั่งกินลูกชิ้นที่เบาะมอเตอร์ไซค์ แล้วก็ได้ยินชายคนหนึ่งถามนายเบนซ์ ว่าคาใจอะไรหรือเปล่าที่ถูกตบหน้า เดี๋ยวจะช่วยเอง

จากนั้นตนกับแฟนก็เดินไปหน้าปากซอย แฟนตนนั่งบนฟุตปาธ แล้วนายธนิตผู้ตายก็ถามตนว่า “แฟนมึงมองหน้ากูมีอะไรหรือเปล่า” จึงบอกว่ามาเล่นสงกรานต์ ไม่มีปัญหา แต่นายธนิตโวยวาย แล้วก็มีเพื่อนมาดึงออกไป ตนเห็นท่าไม่ดีก็เลยจะพากันกลับบ้าน

เมื่อเดินเข้าซอยเพื่อมาที่รถจักรยานยนต์ เมื่อถึงรถ นายธนิตก็เดินมาหาตนอีกครั้งแล้วถามว่ามีปัญหาอะไรไหม จึงลงจากมอเตอร์ไซค์แล้วโต้เถียงกัน แล้วตนก็เป็นคนต่อยก่อน แต่นายธนิตก็ชกกลับ สู้กันไปมาถึงกลางซอย ก็มีผู้ใหญ่คนหนึ่งดึงให้แอบข้างทาง แล้วพาตนไปหลังซอย

จากนั้นก็มีคนอีกกลุ่มวิ่งมาจากปากซอย ตะลุมบอนกัน ซึ่งตนก็ไม่รู้จักว่ามีใครบ้าง จึงร้องให้แฟนขี่จยย.มารับหนีออกไปทางหลังซอย แล้วไปกินหมูกระทะที่บ้านน้อง จนตี 3 มีตำรวจมาจับที่บ้าน บอกว่าคู่กรณีตายแล้ว ก็ตกใจ

ยืนยันไม่เคยรู้จักกับนายเบนซ์ที่เป็นจำเลยอีกคน ไม่รู้ทำไมถึงมีใครซัดทอดไปถึง อยากจะขอความเป็นธรรมด้วย ตนสู้มา 2 ปี ข่าวลือว่าเป็นผู้มีอิทธิพล ปล่อยเงินกู้ก็ไม่จริง เป็นแค่คนธรรมดา หลังเกิดเหตุพ่อก็ป่วย จนต้องนอนติดเตียง ยืนยันว่าเป็นผู้บริสุทธิ์จริงๆ

เป็นคำให้การของจำเลย

ซึ่งต้องรอดูกันต่อไปว่าความจริงจะเป็นอย่างไร

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน