นุชจรี แรกรุ่น – สุเชษฐ์ แรกรุ่น – เมธี เมืองแก้ว – เรื่อง/ภาพ

ปัญหาความรุนแรงในครอบครัว แม้ว่าหน่วยงานภาครัฐและเอกชนจะรณรงค์ ทั้งกดดันทางสังคมหรือการบังคับใช้กฎหมาย พ.ร.บ. คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ.2550

แต่ปัญหานี้ยังมีแต่จะเพิ่มขึ้นทุกวัน

สำนักงานกิจการยุติธรรม กระทรวงยุติธรรม เปิดเผยข้อมูลน่าตระหนกว่า ระยะเวลาเพียงแค่ 3 เดือน ตั้งแต่ ม.ค.-มี.ค.2561 มีความรุนแรงในครอบครัวเกิดขึ้นกับเด็กและสตรี สูงถึงร้อยละ 83.6 เฉลี่ยมากถึง 5 คนต่อวัน

ล่าสุดเกิดเรื่องรุนแรงในครอบครัวคหบดีเมืองปากพนัง นครศรีธรรมราช

เมื่อนายสำเร็จ กุลคง อายุ 79 ปี เกษตรกรและนักธุรกิจส่งออกส้มโอ “ทับทิมสยาม” รายใหญ่ หอบหิ้วเมีย ลูกสาว 2 คน และหลานๆ อีก 3 คน หลบหนีจากปากพนังด้วยเสื้อผ้าที่ติดตัวเพียงคนละชุดเท่านั้น ไปขอความช่วยเหลือจาก นายศิริพัฒ พัฒกุล ผวจ.ตรัง ช่วยคุ้มครองภัยร้าย จากน้ำมือคนใกล้ตัวที่ขู่ฆ่าทั้ง 7 ชีวิต

ให้ตายยกครัว!!?

ผู้ว่าฯ ศิริพัฒ ซึ่งสนิทคุ้นเคยกับนายสำเร็จตั้งแต่สมัยดำรงตำแหน่งรองผวจ.นครศรีธรรมราช จึงประสานกองพันทหารราบที่ 4 กรมทหารราบที่ 15 พาคนทั้งหมดไปอาศัยอยู่ในค่ายพระยารัษฎานุประดิษฐ์ ต.ลำภูรา อ.ห้วยยอด จ.ตรัง เพื่อความปลอดภัยชั่วคราว

ปฐมเหตุที่ทั้ง 7 ชีวิต ต้องหนีข้ามจังหวัดเอาชีวิตรอดจากเงื้อมมือ นายวิรัตน์ สุขแสง หรือ คนในเมืองคอนรู้จักกันดีในชื่อ “โกรัตน์” ผู้กว้างขวางในพื้นที่ และเป็นที่ปรึกษาคณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจ (กต.ตร.) สภ. ปากพนัง

รวมถึงเป็นลูกเขยของนายสำเร็จซึ่งเป็นผู้สืบทอดกิจการมูลค่ามหาศาลของพ่อตา

แต่ “โกรัตน์” ซึ่งครอบครัวยืนยันว่าติดยาเสพติดงอมแงม มักอารมณ์ฉุนเฉียวรุนแรง มีเรื่องทะเลาะตบตี กับภรรยาตัวเอง รวมถึงขู่ฆ่าคนในครอบครัวเป็นประจำ ทำให้ทุกคนต้องทนอยู่ด้วยความหวาดกลัวมานานนับ 10 ปี

แล้วความอดทนก็มาถึงวันสิ้นสุด!!?

เมื่อจู่ๆ โกรัตน์ก็ลากตัวภรรยาตัวเองขึ้นรถ ขณะกำลังไปรอรับลูกจากโรงเรียน ในเย็นวันที่ 14 ส.ค. ที่ผ่านมา ท่ามกลางสายตาผู้ปกครองจำนวนมาก จากนั้นได้ใช้อาวุธปืนตบตี และใช้อาวุธปืนจ่อศีรษะลากตัวกลับมาทำร้ายร่างกายภายในบ้าน รวมทั้งอาวุธมีดจี้ที่บริเวณคอจนบาดเจ็บสาหัส

แต่โชคดีที่โกรัตน์ต้องรีบออกไปทำธุระนอกบ้าน แต่ยังโทรศัพท์กลับมาข่มขู่อีกว่า จะกลับมายิงทิ้งทั้งครอบครัว

แต่รอให้ลูกๆ กลับมาพร้อมหน้ากันก่อน!!?

นายสำเร็จจึงตัดสินใจหอบภรรยา ลูกสาว 2 คน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือภรรยาของโกรัตน์ และลูกๆ ของโกรัตน์ เป็นชาย 1 วัย 15 ปี และหลานสาวฝาแฝดวัย 10 ขวบ อีก 2 คน ไปอาศัยอยู่กับคนรู้จักในพื้นที่โดยไม่ได้หยิบฉวยทรัพย์สินอะไรติดมือไปด้วย

โดยหลานทั้ง 3 คน ก็มีเพียงชุดนักเรียนที่สวมติดตัวอยู่เท่านั้น

ก่อนเข้าแจ้งความที่สภ.ปากพนัง

เมื่อโกรัตน์ทราบเรื่อง จึงระดมพรรคพวกออกตามล่าตัวในที่ต่างๆ รวมถึงส่งข้อความเข้ามือถือลูกๆ เป็นระยะๆ ว่าจะฆ่าทิ้งให้หมด จนทั้ง 7 ชีวิตต้องหนีเอาชีวิตรอดชนิด หัวซุกหัวซุนนานนับสัปดาห์

พล.ต.ต.วันไชย เอกพรพิชญ์ ผบก.ภ.จว.นครศรีธรรมราช ประกาศให้กำลังพลในสังกัดไล่ล่าตัวโกรัตน์ทันที หลังศาลจังหวัดปากพนัง อนุมัติออกหมายจับคดีทำร้ายร่างกาย ผู้อื่น จนได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจ และพ.ร.บ. อาวุธปืน

พร้อมรุดไปค่ายพระยารัษฎานุประดิษฐ์ พูดคุยขอรายละเอียด และให้กำลังใจ รวมถึงรับประกันว่าครอบครัวของนายสำเร็จจะได้รับความเป็นธรรม พร้อมยืนยันว่า ถึงโกรัตน์จะเป็นที่ปรึกษากก.ตร.สภ.ปากพนัง และเป็นผู้กว้างขวางในพื้นที่ ก็ไม่อาจทำให้คดีเบี่ยงเบนเอนเอียงไปได้

หลังถูกตำรวจกดดันอย่างหนัก โกรัตน์ก็ยอมโผล่มอบตัวที่สภ.ปากพนัง ในช่วงเย็นวันที่ 27 ส.ค. หลังรู้ตัวว่าหนีไม่รอด เพราะศาลอนุมัติหมายจับ ข้อหาพยายามฆ่าเพิ่มอีกกระทงในวันเดียวกัน

แต่เจ้าตัวยังปากแข็งให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ขอไปให้การในชั้นศาลเท่านั้น พนักงานสอบสวนจึงรวบรวมหลักฐาน คุมตัวส่งฝากขังต่อศาลในวันเดียวกัน โดยโกรัตน์เตรียมหลักทรัพย์เป็นเงินสด 200,000 บาท สำหรับใช้ประกันตัว

แต่ทั้งพนักงานสอบสวนและผู้เสียหายคัดค้านประกันตัว เนื่องจากพฤติกรรมที่ผ่านมาเกรงว่าผู้เสียหายอาจได้รับอันตราย

ศาลพิเคราะห์แล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้องขอประกันตัว ส่งผลให้โกรัตน์ถูกควบคุมตัวส่งเรือนจำจังหวัดปากพนังทันที

อีกหนึ่งคดีอุทาหรณ์ว่า เรื่องความรุนแรงในครอบครัว ไม่ใช่ปัญหาเล็กๆ อย่างที่หลายคนเข้าใจ

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน