คอลัมน์ สดจากสนามข่าว

วันชัย พูลเพิ่มพันธ์ / ยุวนิต สังวาลพานิช / อดิษัยต์ พรวนพิมพ์ / พนม คงเจริญ

เรื่อง/ภาพ

แก๊งอาชญากรรมข้ามชาติแต่ละชาติแต่ละแก๊งมีความถนัดในการก่อเหตุแตกต่างกันไป อาทิ แก๊งล้วงกระเป๋า แก๊งฉกเพชร แก๊งคอลเซ็นเตอร์ แก๊งสกิมเมอร์ แก๊งยกเซฟ เป็นต้น ทำให้เมื่อเกิดเหตุลักษณะใดตำรวจจะพุ่งเป้าไปที่กลุ่มแก๊งที่มีความถนัดในการก่อเหตุดังกล่าวเป็นสิ่งแรก ส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยผิดหวัง

ล่าสุดเมื่อวันที่ 6 ม.ค. ที่ สภ.โพธิ์แก้ว จ.นครปฐม พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รอง ผบ.ตร. พร้อมด้วยพล.ต.อ.สุวิระ ทรงเมตตา ที่ปรึกษา สบ 10 พล.ต.ต.สุทธิพงษ์ วงษ์ปิ่น รรท.ผบช.ภ.7 พล.ต.ต.กฤษณะ ทรัพย์เดช รอง ผบช. พล.ต.ต.สมชาย รักเสนาะ ผบก.สส.ภ.7 พล.ต.ต.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบก.ภ.จว.นครปฐม พล.ต.ต.สุทิน ทรัพย์พ่วง รรท.ผบก.ป. พ.ต.อ.ไชยา สุนทรกิจ รอง ผบก.บก.สส. ภ.7 พ.ต.อ.ศักดิ์ศรี แก้วเอี่ยม ผกก.สภ.โพธิ์แก้ว ร่วมกันแถลงข่าวจับกุม 3 ผู้ต้องหา สมาชิกแก๊งชาวโคลัมเบีย ก่อเหตุยกเซฟ ได้ทรัพย์สินไปไม่น้อยกว่า 2 ล้านบาท

ผู้ต้องหาประกอบด้วย นายฌอน ปิแอร์ แอนเดรส นายเอนริก้า ออตเต้า และ นายเบญจามิน อีเซล โมโกยอน โลเปซ ทั้งหมดเป็นชาวโคลัมเบีย พร้อมของกลางกำไลทองคำ สร้อยข้อมือทองคำ แหวนทองคำ จี้ทองคำ ธนบัตรชนิดต่างๆ เหรียญและพระเครื่อง หินสีชนิดต่างๆ และทรัพย์สินที่ตรวจยึดได้รวม 159 รายการ รวมมูลค่ากว่า 2 ล้านบาท

หลังร่วมกับพวกที่ยังหลบหนีก่อเหตุโจรกรรมตู้เซฟ ภายในบ้านเลขที่ 2/150 หมู่ 8 ต.กระทุ่มล้ม อ.สามพราน จ.นครปฐม ซึ่งเป็นบ้านพักของผู้พิพากษาระดับสูงคนหนึ่ง จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดพบคนร้าย 3 คน ใช้รถยนต์เก๋งนิสสัน สีดำ ไม่ทราบหมายเลขทะเบียน เป็นยานพาหนะ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 15 ธ.ค.ที่ผ่านมา

พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติเปิดเผยว่า จากการสอบสวนผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่าร่วมกับนายมาโคล่ (ไม่ทราบชื่อจริงนามสกุลจริง) เข้าไปลักตู้เซฟ โดยนายมาโคล่เป็นผู้เช่ารถเก๋งมาจาก จ.อุดรธานี เพื่อใช้ก่อเหตุตระเวนหาบ้านเป้าหมาย เมื่อได้ตู้เซฟมาแล้วร่วมกันยกขึ้นรถเก๋งขับเข้ากรุงเทพฯ ไปเปิดห้องพักที่โรงแรมแห่งหนึ่ง เพื่อเปิดแบ่งทรัพย์สินจากนั้นแยกย้ายกันหลบหนี

รอง ผบ.ตร.เผยแนวทางจับกุมคนร้ายว่า ตำรวจชุดจับกุมประสานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง จนได้ข้อมูลกลุ่มคนต่างชาติที่เดินทางเข้าออกประเทศไทย แล้วมีประวัติเคยก่อเหตุในลักษณะเดียวกัน พบว่านายฌอน ปิแอร์ มีประวัติเคยถูกจับกุมในพื้นที่ จ.ภูเก็ต จึงสืบสวนติดตามตัวและเชิญตัวมาสอบสวน จนกระทั่งยอมรับสารภาพ สำหรับผู้ต้องหาแก๊งนี้เคยก่อเหตุมาแล้วหลายครั้งในพื้นที่ จ.ปทุมธานี จ.นนทบุรี และ จ.สมุทรปราการ ซึ่งตำรวจจะได้ติดตามจับกุมผู้ต้องหาที่ยังหลบหนีมาดำเนินคดีต่อไป

พล.ต.ท.สุวิระโดดลงมาสานคดีต่อ ก่อนจะจับกุมตัว นายเช็ค มูหามัด สาลีม ราธพุธ เพิ่มได้อีกเป็นรายที่ 4 จากนั้นเมื่อวันที่ 8 ม.ค. พล.ต.ท.สุวิระนำกำลังตำรวจ สน.บาง พลัด เข้าตรวจค้นร้านปิ่นเพชร พร้อมจับ กุม น.ส.กาญจนา ประสงค์เสรีนนท์ และ นายชัชวาล เหล้าวรรณะ ที่บ้านเลขที่ 18/545 ซอย 4 ถนนบรมราชชนนี เขตบางพลัด ที่เป็นโรงงานรับแปรรูปเครื่องเพชรและทองรูปพรรณ ที่ 4 ผู้ต้องหา ชาวโคลัมเบีย นำทรัพย์สินทั้งทองรูปพรรณ เครื่องเพชร และพระเครื่อง ที่ได้จากการลักทรัพย์บ้านพักของผู้พิพากษาไปขายให้


ตํารวจยึดของกลางบางส่วนที่ยังหลอมไม่ทัน และบางส่วนที่หลอมเป็นรูปพรรณอื่นแล้ว รวมทั้งที่แปลงเป็นเครื่องประดับอื่นไปแล้ว แต่ว่านำทองคำและเพชรมาจากของกลางในคดีมาทำ

พล.ต.ท.สุวิระกล่าวว่า 2 สามีภรรยาเจ้าของโรงงานนั้นเชื่อมโยงกับกลุ่มคนร้ายอย่างใกล้ชิด ทั้งในเรื่องการติดต่อสื่อสาร ทั้งเรื่องการตกลงซื้อขายกัน ทรัพย์สินที่โจรกรรมมาทุกล็อตของโคลัมเบียแก๊งนี้จะนำมาส่งให้ที่นี่ ซึ่งตำรวจมีหลักฐานที่ชัดเจน มีรูปถ่ายขณะซื้อขายกัน ทรัพย์สินที่โจรกรรมมาก็ยังพบว่าอยู่ครบถ้วนในบางส่วน บางส่วนก็ถูกแปรสภาพไปแล้ว ซึ่งในส่วนนี้เจ้าของโรงงานรับสารภาพว่าได้หลอมแล้วแปรสภาพไปแล้วบางส่วน เราจึงยึดทั้งส่วนที่แปรสภาพและส่วนที่ยังไม่แปรสภาพซึ่งมีมูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า 5 ล้านบาท

ตำรวจขยายผลไปตรวจค้นที่บ้านเช่าในหมู่บ้านณัฐกานต์ 5 แขวงออเงิน เขตสายไหม กทม. ก่อนจะพบของกลางเพิ่มเติมอีกบางส่วน “พฤติการณ์ของคนร้ายแก๊งโคลัมเบีย จะใช้วิธีกดกริ่งตามบ้านพักหรูๆ หากพบว่าไม่มีผู้อยู่อาศัยจะดำเนินการเข้าโจรกรรมโดยพุ่งเป้าไปที่ตู้เซฟ ก่อนจะยกมาตัดตู้และนำทองรูปพรรณ และเครื่องเพชร หรือพระเครื่อง ที่มีการทำกรอบทองหรือกรอบเพชร มาขายให้กับผู้ต้องหาทั้งสอง โดยในคดีของบ้านพักผู้พิพากษาผู้ต้องหาทั้งสองรับซื้อทรัพย์สินมูลค่ารวมกว่า 5 ล้านบาท ในราคาเพียง 4 แสน 5 หมื่นบาท ตำรวจพบว่ารับซื้อกับแก๊งโคลัมเบียไม่น้อยกว่า 4 ครั้ง โดยขณะนี้ยังไม่พบว่ามีคนไทยร่วมในการโจรกรรม แต่มีเพียงคนไทยที่ให้ข้อมูลและประสานในการนำทรัพย์สินที่ได้มาขายต่อ ซึ่งเจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการขยายผล” พล.ต.ท.สุวิระกล่าว

รรท.ที่ปรึกษา สบ 10 กล่าวเสริมว่า คดีนี้ยังเหลือคนร้ายอีก 2 คนโดยร่วมกันก่อเหตุมาแล้ว 6 ครั้ง จากการตรวจสอบทราบว่าแก๊งโคลัมเบียมีอยู่หลายกลุ่ม ที่มีหมายจับของไทยประมาณ 139 คน ส่วนใหญ่มีประวัติต้องโทษทางคดีมาก่อน เมื่อพ้นโทษแล้วก็ถูกผลักดันออกนอกประเทศ แต่ก็จะทำพาสปอร์ตใหม่แล้วกลับเข้ามาก่อเหตุอีก จึงจำเป็นต้องใช้มาตรการเด็ดขาดในการสกัดกั้นและปราบปราม

เห็นเมืองไทยเป็นสวรรค์ของอาชญา กร จึงเป็นเรื่องถูกต้องที่ตำรวจจะเร่งหาทางป้องกันและจัดการให้หมดไปโดยเร็ว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน