แฟ้มคดี
เป็นเรื่องที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างแพร่หลายในทุกวงสังคม
สำหรับคดีสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ หรือสปท.ต้องตกเป็นผู้ต้องหาในคดีทำร้ายร่างกาย
ด้วยการตบหน้าพนักงานร้านอาหารดัง
เพราะไม่พอใจที่ถูกเรียกว่า ‘ป๋า’
พร้อมยังยืนยันว่าเป็นแค่การหยอกล้อ ตักเตือนกัน เหมือนผู้ใหญ่ตักเตือนเด็ก
แต่ที่เป็นเรื่องเป็นราวเพราะความน้อยใจของเด็กที่มีไม่เหมือนกับคนอื่น
และแม้จะขอโทษ พร้อมยอมเสียค่าปรับ แต่สังคมก็ยังตั้งข้อสงสัย
ว่าการใช้ความรุนแรงแก้ปัญหานี่เหมาะสมถูกต้องเพียงใด
ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อมีรูปว่อนถึงพฤติกรรมต่างๆ จนพริตตี้สาวที่อยู่ในภาพคู่ ต้องขอให้ลบรูปทิ้ง
เป็นเรื่องราวที่มาจากคำว่า ‘ป๋า’
- สปท.ยัวะเรียกป๋า-ตบพนง.ร้าน
คดีนี้เกิดขึ้นเมื่อกลางดึกคืนวันที่ 10 มี.ค. เมื่อ พ.ต.ท.จิรภัทร แต้มทอง รองผกก.(สอบสวน) สน.บางซื่อ รับแจ้งเหตุจาก นายชาติอลงกรณ์ นิลยาน อายุ 30 ปี หนุ่มบาร์เทนเดอร์ ร้านอาหารเกรย์ฮาวด์ ในห้างลาวิลล่า สาขาอารีย์ ระบุว่าถูก นายอนุสร จิรพงศ์ สมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ใช้หลังมือตวัดตบบริเวณใบหน้า ทำให้บาดเจ็บที่แก้มขวา
เหตุเกิดเมื่อช่วงค่ำวันที่ 10 มี.ค.ที่ผ่านมา พร้อมนำคลิปจากวงจรปิดภายในร้านอาหารมามอบไว้เป็นหลักฐานด้วย
หลังรับแจ้งเหตุ พ.ต.ท.จิรภัทร ได้ลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน ก่อนให้ผู้เสียหายไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลตำรวจ เพื่อนำใบตรวจร่างกายมาเป็นหลักฐาน
จากนั้นจะสอบสวนผู้เสียหายเพิ่มเติม หากพบว่านายอนุสรมีความผิดจริงก็จะเชิญตัวมาสอบสวน
ทั้งนี้จากการเดินทางไปตรวจสอบที่ร้านอาหารดังกล่าวพบว่า วันเกิดเหตุเป็นคืนวันศุกร์ นายอนุสร ซึ่งเป็นลูกค้าประจำ เข้ามานั่งรับประทานอาหารและดื่มไวน์แดง
จากนั้นก็กวักมือเรียกนายชาติอลงกรณ์ จากเคาน์เตอร์บาร์เทนเดอร์ มาที่โต๊ะ แล้วตบเข้าที่หน้า โดยพนักงานคนอื่นไม่ทราบว่านายอนุสรไม่พอใจเรื่องอะไร เพราะตอนนั้นเป็นช่วงค่ำที่ลูกค้าเยอะ
ได้แต่เห็นนายชาติอลงกรณ์ยกมือไหว้อยู่หลายครั้ง
ต่อมาเจ้าของร้านก็ให้นายชาติอลงกรณ์ไปแจ้งความดำเนินคดี
ขณะที่นายอนุสรก็ออกมายอมรับว่าได้ลงมือตามที่ถูกแจ้งความดำเนินคดีจริง เป็นเพราะว่าพนักงานร้านอาหารคนนั้นเรียกตนว่า ‘ป๋า’ จึงไม่พอใจ แต่ไม่ได้เป็นการทำร้ายร่างกายอะไรรุนแรง หากดูจากคลิปจะเห็นว่าใช้มือเขกศีรษะพนักงานเพื่อตักเตือน
ส่วนตัวไม่ชอบให้ใครมาเรียกแบบนี้จึงได้ตักเตือนไป ที่ผ่านมาก็ไปรับประทานอาหารที่ร้านดังกล่าวเป็นประจำ หลังจากนี้ก็จะติดต่อทางร้านเพื่อเจรจากันต่อไป
จากนั้นนายอนุสรก็เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนเมื่อวันที่ 14 มี.ค. โดยมีพล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร ผบช.น. ร่วมสอบสวน ก่อนออกมาเปิดเผยว่า นายอนุสรยอมรับว่ากระทำการดังกล่าวจริง แต่ไม่มีเจตนาที่จะทำร้ายร่างกาย
แต่กรณีที่เกิดขึ้นเป็นความผิดอาญาแผ่นดิน เจ้าหน้าที่ต้องดำเนินคดีตามกระบวนการของกฎหมาย ซึ่งหลักฐานของแพทย์ ระบุว่า มีรอยช้ำบวมที่แก้มขวา 3 แห่ง กว้างประมาณ 2 ซ.ม.ใช้เวลารักษาประมาณ 3 วัน
พนักงานสอบสวนจึงแจ้งข้อหาทำร้ายร่างกายผู้อื่น ไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายและจิตใจ ตามกฎหมายอาญา มาตรา 391 มีอัตราโทษจำคุก 1 เดือน ปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท ซึ่งพนักงานสอบสวนลงความเห็นให้ลงโทษปรับ 1 หมื่นบาท
จบคดี‘ป๋า’
- สปท.ตั้งกก.จริยธรรมสอบ
ขณะที่นายชาติอลงกรณ์ ผู้เสียหายเปิดเผยว่า ทำงานเป็นบาร์เทนเดอร์ที่ร้านดังกล่าวมาหลายปี เคยบริการนายอนุสรหลายครั้ง วันเกิดเหตุก็ให้บริการลูกค้าตามปกติ ต่อมาเพื่อนมาบอกว่านายอนุสรเรียกตนไปพบ ด้วยความตื่นเต้นจึงเผลอเรียกนายอนุสร ว่า‘ป๋า’ ทำให้นายอนุสรไม่พอใจ ตบหน้าตน
หลังเกิดเหตุก็กลัวและน้อยใจ รู้สึกว่าตนไม่ได้รับความเป็นธรรม ไม่ได้ทำอะไรผิดแต่กลับถูกตบหน้า จึงไปแจ้งความที่สน.บางซื่อ แต่เมื่อเหตุการณ์ผ่านมาแล้วก็ไม่ได้ติดใจเอาความอะไร ต้องขอโทษนายอนุสร หากวันเกิดเหตุใช้คำพูดไม่เหมาะสม
ด้านนายอนุสรเองก็ระบุว่าต้องขอโทษนายชาติอลงกรณ์ด้วย และขอโทษสังคม การกระทำที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้ตั้งใจ ที่ผ่านมาตนกับนายชาติอลงกรณ์ก็คุ้นเคยกันดี เคยมาใช้บริการที่ร้านบ่อยครั้ง และเคยบอกแล้วว่าอย่าเรียก ‘ป๋า’ เพราะรู้สึกว่าเป็นคำไม่สุภาพ
เหตุการณ์วันนี้คิดว่าเป็นการหยอกล้อ ไม่คิดว่าเด็กจะน้อยใจและเสียใจจนเป็นเรื่องราวใหญ่โตขนาดนี้ ต้องถือว่าเหตุการณ์นี้เป็นบทเรียน เนื่องด้วยตำแหน่งการงาน ทำให้ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ
นายอนุสรยังระบุอีกว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตำแหน่งสปท. แต่ไม่ชอบให้ใครเรียกป๋ามานานแล้ว พอพนักงานคนนั้นเรียก ก็เลยเขกหัว เหมือนทำกับเด็ก ไม่ได้โกรธ หรือมีเจตนาร้าย ไม่ได้คิดอะไรมากเพราะเป็นการเขกหัวทั่วๆ ไป
จนตอนนี้ตนโกรธที่เป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมา โกรธตัวเองที่ทำแบบนั้นด้วย จริงๆ ไม่มีอะไรเลย พนักงานคนนี้ก็รู้จักมานาน แต่เข้าใจว่าแต่ละคนมีความน้อยเนื้อต่ำใจไม่เหมือนกัน ตนว่ายุคสมัยนี้อยู่ลำบาก ทำอะไรต้องคิดถึงสิ่งที่จะเกิดตามมา หรือต้องคำนึงถึงความรู้สึกคนอื่น
“เรื่องนี้จบไปแล้ว ไม่มีปัญหาอะไร เมื่อมีสปท.ให้ตั้งคณะกรรมการจริยธรรม ก็พร้อมให้ตรวจสอบ ผมเป็นนักกฎหมายรู้ว่าอะไรเป็นอะไร เรื่องนี้ไม่มีอะไรเลย เด็กเสิร์ฟก็รู้ว่าไม่มีอะไร แต่เหมือนเป็นการพยายามเล่นเรื่องนี้ เรื่องแค่นี้ไม่ถึงขั้นต้องมีการร้องเรียนอะไรกัน”
“ถ้าเกิดผมจะเข้าจริยธรรมอะไรก็โอเค และไม่ติดใจ ถ้าการที่เขกหัวเด็กที่พูดจาไม่เพราะ ถือว่าเป็นจริยธรรมที่แย่ แสดงว่าคนในประเทศเราก็ต้องมีมาตรฐานสูงจริงๆ”
ผลจะเป็นอย่างไรคงต้องติดตาม
- เผยเป็นหลานจอมพลถนอม
นอกจากกรณีอื้อฉาวเรื่องตบพนักงานร้านอาหารแล้ว เมื่อเข้าไปดูในเฟซบุ๊กส่วนตัวของนายอนุสร ซึ่งล่าสุดได้ปิดบัญชีไปแล้วนั้น พบรูปถ่ายคู่กับหญิงสาววัยรุ่นหน้าตาดีจำนวนมาก
โดย 1 ในนั้นเป็นพริตตี้สาวที่จ.เชียงใหม่ ได้โพสต์ชี้แจงผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า รับทราบข่าวและเห็นรูปที่โพสต์ในออนไลน์แล้ว ขอชี้แจงว่าเป็นพริตตี้รับงานเอ็นเตอร์เทน ไม่เคยขายตัว หากขายตัวจริงป่านนี้รวยไปนานแล้ว รวมทั้งแสดงความไม่พอใจคนที่ถ่ายรูปไปอวดคนอื่นจนมีเรื่องราวให้เสื่อมเสีย
พร้อมให้สัมภาษณ์ว่า งานเอ็นเตอร์เทนที่ระบุคือไปเที่ยว ไปกินข้าวเท่านั้น ไม่ได้มีอะไรเกินเลยมากกว่านี้ ตนอยู่ที่จ.เชียงใหม่ โดยเวลานั้น ตนและเพื่อนได้รับการติดต่อจากคนรู้จักว่าให้ไปรับงานกับผู้ชายคนดังกล่าวที่มาเที่ยวเชียงใหม่คนเดียว
วันนั้นก็ไปกินข้าว ไม่มีอะไรเกินเลย ผู้ชายคนนั้นบอกว่าไม่มีลูกเมีย แค่มาเที่ยวพักผ่อน ประมาณ 3-4 ทุ่ม ตนและเพื่อนก็กลับ
“ไม่เข้าใจว่าทำไมรูปที่ถูกเผยแพร่ในโลกออนไลน์มีแค่ตนคนเดียว ทั้งที่ไปกันหลายคน พยายามบอกแล้วให้ลบรูปไปแล้ว แต่ไม่เข้าใจว่ารูปนั้นไปเผยแพร่ในโลกออนไลน์ได้อย่างไร” พริตตี้สาวโวย
สำหรับประวัติของนายอนุสรนั้น เรียกได้ว่าแม้จะทำงานในตำแหน่งสปท.มาเกือบ 2 ปี แต่ก็ไม่ได้เป็นที่รู้จักของสังคมมากนัก
แต่เมื่อตรวจสอบ พบว่าเป็นสมาชิก สปท.ลำดับที่ 182 เกิดเมื่อวันที่ 26 ม.ค.2500 ระบุเป็นโสด จบชั้นมัธยมที่เซนต์ อัลบันส์ สคูล วอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อปี 2517 จบระดับการศึกษาปริญญาตรี ศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มหาวิทยาลัยทัฟส์ เมดฟอร์ด บริเวณชานเมืองบอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา
จบปริญญาโทสาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จากวิทยาลัยกฎหมายและการทูตเฟลทเชอร์
เคยเป็นที่ปรึกษาประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. เป็นเจ้าหน้าที่ประสานงานโครงการเงินกู้ อีสานเขียวไทย อังกฤษ ประจำสำนักเลขานุการ นายกรัฐมนตรี ปี 2532
ที่ปรึกษาคณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคมแห่งเอเชียและแปซิฟิก (ESCAP) ที่ปรึกษาบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่ปรึกษา บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)
นอกจากนี้เป็นหลานตาของ จอมพลถนอม กิตติขจร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยแม่คือ คุณหญิงนงนุช บิดาคือ พล.อ.เอื้อม จิรพงศ์ โดยนายอนุสรเป็นลูกชาย คนโตมีน้องสาวชื่ออุษา ซึ่งต่อมาแต่งงานกับนายบัณฑูร ล่ำซำ แห่งแบงก์กสิกรไทย
มาเป็นสปท. และโด่งดังเพราะไม่ชอบให้เรียกว่า‘ป๋า’