เกาะตร.คลี่คดีฆ่าลุงพิการ
กระสุนปริศนา–เจาะขมับ
มือปืนอ้างยิงกระรอก
คอลัมน์ สดจากสนามข่าว
โดย ธนภัทร ชีระจินต์ เรื่อง/ภาพ
คดีฆ่าลุงพิการ – เพราะลูกกระสุนไม่มีตา จึงต้องระมัดระวังในการใช้อาวุธปืนให้มาก ฝึกปฏิบัติตามกฎแห่งความปลอดภัยอย่างเคร่งครัดจนเป็นนิสัย เพราะกระสุนเมื่อลั่นไกยิงออกไปแล้ว ไม่มีทางจะหยุดยั้งหรือเรียกคืนความสูญเสียกลับมาได้
เช่นเหตุการณ์เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. เกิดเหตุนายศรชัย สุขุมทอง อายุ 55 ปี ชาว ต.บ้านยาง อ.คีรีรัฐนิคม จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งพิการแขนขวาขาดตั้งแต่หัวไหล่ ถูกกระสุนปืนปริศนายิงเจาะขมับ ได้รับบาดเจ็บสาหัส ก่อนจะเสียชีวิตในเวลาต่อมา ขณะกำลังปั่นจักรยานกลับจากตัดหญ้าให้วัว ซึ่งอยู่ห่างจากป้อมตำรวจไม่ถึง 50 เมตร เบื้องต้นกล้องวงจรปิดสามารถจับภาพไว้ได้
ภาพจากกล้องวงจรปิด
พ.ต.ท.วิโรจน์ ยิ่งดำนุ่น รอง ผกก.(สอบสวน) สภ.คีรีรัฐนิคม สั่งการให้ตำรวจชุดสืบสวนลงพื้นที่เกิดเหตุและพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งพบว่าพื้นที่ใกล้จุดเกิดเหตุเป็นสวนปาล์มมักจะมีไก่ป่าลงมาหากินเป็นจำนวนมาก คาดว่า ลูกกระสุนที่ยิงใส่ผู้ตายนั้นน่าจะเป็นพวก ล่าไก่ป่า จึงได้ตรวจยึดอาวุธปืนต้องสงสัยจำนวน 3 กระบอก มาเปรียบเทียบกับ หัวกระสุนที่ผ่าจากศพผู้ตายว่ามาจาก 3 กระบอกหรือไม่
ส่วนศพของ นายศรชัย ตั้งบำเพ็ญกุศล ที่วัดนิลาราม ต.บ้านยาง อ.คีรีรัฐนิคม จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งทางญาติและครอบครัว ต่างอยู่ในความโศกเศร้า โดย นางชลาทิพย์ สุขุมทอง อายุ 58 ปี ภรรยาของผู้ตาย ซึ่งพิการแขนขวาเช่นกัน เปิดเผยว่า ผู้ตายได้ไป ตัดหญ้าให้วัวที่เลี้ยงไว้ปกติแบบทุกวัน ซึ่งตนก็ไม่คาดคิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้กับครอบครัวของตน ขอฝากให้ตำรวจติดตามตัวคนร้ายมาดำเนินคดีโดยเร็ว
ต่อมา พล.ต.ต.อภิชาติ บุญศรีโรจน์ ผบก.ภ.จว.สุราษฎร์ธานี สั่งการให้ พ.ต.ท.วิทยา พิทักษ์ รอง ผกก.สส.ภ.จว. สุราษฎร์ธานี พ.ต.ท.เลิศชาย ไชยชนะ รอง ผกก. สส.สภ.คีรีรัฐนิคม นำกำลัง ชุดสืบสวน พร้อมเจ้าหน้าที่ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 8 ลงพื้นที่จุด เกิดเหตุ เพื่อหาหลักฐานเพิ่มเติม พร้อมวิเคราะห์หาวิถีกระสุนและจำลองเหตุการณ์ สอบถามชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในละแวกใกล้เคียงจุดเกิดเหตุและสอบปากคำภรรยาผู้เสียชีวิต เพิ่มเติม เพื่อนำกลับไปประกอบในสำนวนคดี
หาปลอกกระสุน
โดยจากการจำลองลักษณะของผู้ตายและวิถีกระสุนซึ่งเป็นขนาด .22 พบว่ายิงผ่านทะลุออกมาจากสวนเงาะใกล้ที่เกิดเหตุ รวมทั้งประเมินระยะความแรงของกระสุนที่ตกใส่ผู้ตาย ส่วนประเด็นการเสียชีวิตคาดว่าอาจจะเกิดจากปืนลั่น หรือเกิดจากการยิงสัตว์แต่กระสุนพลาด
ต่อมาวันที่ 14 มิ.ย. พล.ต.ต.อภิชาติ สั่งการให้ตำรวจหน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิด บก.ภ.จว.สุราษฎร์ธานี ร่วมกับศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 8 เข้าตรวจสอบบริเวณใกล้บ้านของนายศักดิ์ศิลป์ พืชผล อายุ 58 ปี อดีตสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่อยู่ห่างจุดเกิดเหตุ 100 เมตร ก่อนพบหัวกระสุน และปลอกกระสุนปืนชนิดต่างๆ บนพื้นดินและต้นไม้จำนวนมาก จึงรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน โดยเจ้าหน้าที่สงสัยว่าลูกชายของนายศักดิ์ศิลป์ อาจรู้เห็นกับเหตุยิงดังกล่าว
หาวิถีกระสุน
วันรุ่งขึ้นพนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติจากศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานี ออกหมายจับนายวชิรศักดิ์ พืชผล อายุ 21 ปี บุตรชายนายศักดิ์ศิลป์ ในข้อหา “กระทำการโดยประมาทเป็นเหตุ ให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครอง โดยไม่ได้รับอนุญาต”
พล.ต.ต.อภิชาติกล่าวว่า ทีมสืบสวนสอบสวนสามารถรวบรวมวัตถุพยานต่างๆ ที่ชี้ชัดว่า นายวชิรศักดิ์ ผู้ต้องหา ซึ่งมีบ้านอยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 100 เมตร เป็นคนที่ใช้อาวุธปืนยิงในวันเกิดเหตุ แต่วิถีกระสุนเกิดพลาดพุ่งเข้าใส่ศีรษะนายศรชัย จนเสียชีวิต ขณะนี้ตัวผู้ต้องหาได้หลบหนีไปตั้งแต่วันเกิดเหตุ
ล่าสุดเมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 17 มิ.ย. พ.ต.อ.เสริม ขวัญนิมิตร รอง ผบก.สส.ภ.8 พ.ต.อ.วิรุฬห์ สุวรรณวงศ์ รอง ผบก.ภ.จว.สุราษฎร์ธานี พ.ต.อ.สถาพร พัฒนรักษ์ ผกก.สส.1บก.สส.ภ.8 พร้อมเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ภาค 8 ร่วมนำตัวนายวชิรศักดิ์ พืชผล อายุ 21 ปี มาสอบสวนพร้อมอาวุธปืนยาวขนาด .22 ที่ใช้ก่อเหตุ
คุมนายวชิรศักดิ์ พืชผล ทำแผนฯ
หลังจากบิดาของนายวชิรศักดิ์ นำลูกชายเข้ามอบตัวที่ตำรวจภูธร ภาค 8 ก่อนจะนำตัวกลับมาชี้จุดเกิดเหตุ โดยนายวชิรศักดิ์สารภาพว่าเป็นคนก่อเหตุดังกล่าวจริง โดยในวันเกิดเหตุได้ใช้ปืนขนาด .22 ออกมายิงกระรอกในสวนเงาะซึ่งห่างจากจุดเกิดเหตุ 61 เมตร และไม่ทราบว่ากระสุนพลาดไปถูกศีรษะของผู้ตาย
หลังเกิดเหตุยังได้วิ่งเข้าไปช่วยเหลือในเบื้องต้น จากนั้นได้เดินทางเข้าไปเที่ยวในตัวเมืองสุราษฎร์ธานีกับเพื่อนที่นัดกันไว้ และมาทราบจากข่าวในภายหลังว่ากระสุนดังกล่าวเป็นกระสุนจากปืนที่ตัวเองยิง จึงได้ติดต่อให้บิดาพาเข้ามอบตัว
ด้านนายวชิรศักดิ์เปิดเผยว่า รู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพราะตัวเองไม่ได้มีเจตนาที่จะทำให้ผู้อื่นเสียชีวิต แต่เกิดจากการประมาทของตัวเองที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ และอยากจะขอโทษกับครอบครัวของผู้เสียชีวิตด้วย
อีกหนึ่งอุทาหรณ์ ควรดูเอาไว้ ก่อนคิดจะลั่นไก
