หลักฐานชี้‘ไฟใต้ลาม’ผ่าปมระทึกกลางกรุง! บึ้มป่วน-วางเพลิง 10 จุด บิ๊กแป๊ะคุมเอง-คลี่คดี : แฟ้มคดี

หลักฐานชี้‘ไฟใต้ลาม’ผ่าปมระทึกกลางกรุง! บึ้มป่วน-วางเพลิง 10 จุด บิ๊กแป๊ะคุมเอง-คลี่คดี : แฟ้มคดี – นับเป็นคดีใหญ่ที่สร้างแรงสั่นสะเทือนในสังคม สำหรับเหตุการณ์ลอบวางระเบิดป่วนกรุงนับสิบจุด แม้จะถือว่าโชคดีที่แรงระเบิดส่งผลให้ประชาชนบาดเจ็บ ไม่ถึงกับเสียชีวิต

แต่ปมสาเหตุก็ถูกถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง ว่าเกิดจากอะไร กันแน่

แม้จะมีความพยายามพุ่งเป้าไปที่เรื่องผู้เสียประโยชน์ทางการเมือง แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจทำงานของตัวเองได้อย่างดี

หลักฐานชี้‘ไฟใต้ลาม’ผ่าปมระทึกกลางกรุง! บึ้มป่วน-วางเพลิง 10 จุด บิ๊กแป๊ะคุมเอง-คลี่คดี : แฟ้มคดี

และกล้องวงจรปิดใน กทม.ก็ไม่เสียหาย เหมือนกับคดีการเมือง อื่นๆ ที่ผ่านมา

ก็ทำให้สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งวางแผนเดินทางมาจากชายแดนใต้

เมื่อก่อเหตุแล้วก็เดินทางกลับทันที

ขณะที่พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ยังระบุข้อมูลว่ากลุ่มคนเหล่านี้เคยถล่มฐานนาวิกโยธินที่ใต้มาแล้ว

เมื่อหลักฐานชัดเจนขนาดนี้ จะโยนให้เป็นเรื่องการเมือง

ก็คงจะยากเต็มที

พลิกนาทีบึ้มป่วนกรุง 10 จุด

เหตุระเบิดป่วนเมืองนับสิบจุดครั้งนี้ เริ่มต้นขึ้นเมื่อช่วงบ่ายของ วันที่ 1 ส.ค. เมื่อมีการแจ้งว่าพบวัตถุต้องสงสัยอยู่ที่ใต้ป้ายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ริมถนนพระราม 1 มีลักษณะเป็นกล่องน้ำผลไม้ มีไฟกะพริบสีเขียว คาดว่าจะเป็นวัตถุระเบิด เจ้าหน้าที่จึงปิดกั้นพื้นที่ห้ามประชาชนเข้า-ออก และประสานเจ้าหน้าที่เก็บกู้วัตถุระเบิด หรืออีโอดี เข้าตรวจสอบ

ระหว่างนั้นก็เปิดกล้องวงจรปิดที่บริเวณดังกล่าว ซึ่งโชคดีที่ยังสามารถทำงานได้อย่างดี ก็พบว่าก่อนหน้านี้มีชายลักษณะผอม สวมเสื้อสีเหลือง กางเกงขายาวสีดำ สะพายกระเป๋า และสวมรองเท้าผ้าใบสีดำ ใส่หมวกและหน้ากากอนามัยปิดบังใบหน้า เป็นผู้โยนวัตถุต้องสงสัยซุกไว้ใต้ป้ายสำนักงาน

เมื่อเจ้าหน้าที่อีโอดี และพิสูจน์หลักฐานมาถึง ก็สั่งให้ปิดการจราจรถนนพระรามที่ 1 ทั้งขาเข้าและขาออก ตั้งแต่แยกราชประสงค์ จนถึงแยกเฉลิมเผ่า และปิดทางเดินสกายวอล์ก ห้ามผู้ไม่เกี่ยวข้องเข้าใกล้รัศมี 1 ก.ม. แล้วใช้ปืนน้ำแรงดันสูงยิงทำลาย

หน้าสตช

พร้อมเปิดเผยข้อมูลเมื่อตอนนั้นว่าเป็นระเบิดปลอม ที่ต่อสายไฟ มีเม็ดลูกปรายแต่ไม่มีดินระเบิด คาดเป็นการสร้างสถานการณ์เพื่อเตรียมรับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและรมว.กลาโหม ที่จะเดินทางเข้าประชุมก.ตร. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นครั้งแรกในวันที่ 2 ส.ค.

แต่แล้วความจริงก็ปรากฏว่าระเบิดลูกนั้นไม่ใช่แค่ระเบิดปลอม แต่เป็นระเบิดที่หวังผลทำลายล้างจริงๆ

โดยเมื่อเช้าวันที่ 2 ส.ค. เกิดเหตุระเบิดไล่เลี่ยกันหลายจุดใจกลางกทม. มีผู้บาดเจ็บหลายราย เพราะเป็นช่วงเวลาเร่งด่วนที่ประชาชนเร่งรีบออกเดินทางไปทำงานและเรียนหนังสือ

ไล่ตั้งแต่เวลา 07.05 น. ตำรวจ สน.ทุ่งสองห้อง รับแจ้งเหตุระเบิดที่สวนหย่อมหน้าศูนย์ราชการ ตึกบี แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม. ที่เกิดเหตุพบซากต้นไม้กระจุยกระจาย พบหลุมในสวนหย่อม และระหว่างตรวจสอบอย่างละเอียด เกิดเหตุระเบิดขึ้นอีกจุด ตรงข้ามกับจุดแรก

ต่อมาเวลา 08.50 น. สน.หัวหมาก รับแจ้งเหตุระเบิดกลางซอยพระรามเก้า 57/1 แขวงสวนหลวง กทม. ตรวจสอบคาดว่าเป็นระเบิดปิงปอง มีผู้บาดเจ็บ 3 ราย เป็นพนักงานทำความสะอาดของกทม. ซึ่งให้การว่าระหว่างที่พนักงานหลายคนทำความสะอาด ปรับปรุงภูมิทัศน์ตั้งแต่ปากซอยไปจนถึงกลางซอย เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุเห็นวัตถุต้องสงสัย ลักษณะเป็นก้อนดำๆ วางอยู่กับกองขยะ จึงเตือนกันว่าอย่าไปยุ่ง แต่ขณะที่กำลังกวาดและโกยใบไม้วัตถุดังกล่าวก็ระเบิดขึ้น

นอกจากนี้ยังมีรายงานอีกหลายจุด ไม่ว่าจะเป็นสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส ช่องนนทรี ซึ่งมีเหตุระเบิด 2 ลูก มีผู้บาดเจ็บ 2 ราย บริเวณป้ายทางเข้ากองบัญชาการกองทัพไทย สถานีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงก์ สถานีหัวหมาก มีผู้บาดเจ็บ 1 ราย

หลักฐานชี้‘ไฟใต้ลาม’ผ่าปมระทึกกลางกรุง! บึ้มป่วน-วางเพลิง 10 จุด บิ๊กแป๊ะคุมเอง-คลี่คดี : แฟ้มคดี

รถไฟฟ้าศาลาแดง

ขณะที่ บช.น. ระบุว่า เหตุระเบิดและก่อวินาศกรรมทั้งหมดใน กทม. ระหว่างวันที่ 1-2 ส.ค. เกิดขึ้นรวมทั้งหมด 10 จุด ประกอบด้วย 1.สยามวัน ชั้น 1 ร้านมินิโซว เป็นระเบิดเพลิง ชนิดของอุปกรณ์ คือ เพาเวอร์แบงก์และแอลกอฮอล์ 2.หน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) 1 ลูก ชนิดแสวงเครื่อง

3.ศูนย์ราชการ อาคารบี 1 ลูก ชนิดแสวงเครื่อง 4.ทางออกศูนย์ราชการ 1 ลูก ชนิดแสวงเครื่อง 5.หน้ากองบัญชาการกองทัพไทย 1 ลูก ชนิดแสวงเครื่อง 6.ใกล้กองบัญชาการกองทัพไทย 1 ลูก ชนิดแสวงเครื่อง 7.ตลาดประตูน้ำ ระเบิดเพลิง 8.ลานจอดรถคิง เพาเวอร์ 1 ลูก ชนิดแสวงเครื่อง 9.บริเวณหน้าตึกคิงเพาเวอร์ 1 ลูก ชนิดแสวงเครื่อง และ 10.สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม (ศรีสมาน) 1 ลูก ชนิดแสวงเครื่อง

เป็นการก่อวินาศกรรมที่มีการวางแผนชัดเจน

วงจรปิดชัด-ล็อกทันควัน

หลังเกิดเหตุย่อมเกิดคำถามว่าใครกันเป็นผู้ลงมือก่อเหตุ และมีจุดประสงค์อะไร ซึ่งก็มีความเห็นกันอย่างแพร่หลาย

แต่ก่อนที่จะเข้ารกเข้าพงไปกันใหญ่ การสืบสวนสอบสวนที่รวดเร็ว ก็เริ่มทำให้สถานการณ์คลี่คลาย

โดยเริ่มจากการไล่กล้องวงจรปิดหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อตามหาชายต้องสงสัยที่ซุกระเบิดไว้ และสามารถจับกุมชายต้องสงสัย 2 คน ได้ที่แยกปฐมพร อ.เมือง จ.ชุมพร โดยทราบชื่อภายหลังว่านายลูไอ แซแง อายุ 23 ปี และนายวิลดัน มาหะ อายุ 23 ปี ชาวรือเสาะ จ.นราธิวาส

พบว่าทั้งคู่ร่วมกันวางระเบิดหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในลักษณะแบ่งงานกันทำ คนหนึ่งเป็นคนวาง อีกคนหนึ่งเป็นคนดูต้นทาง จากนั้นคุมตัวส่งเข้ามาสอบสวนที่ กทม. แล้วจึงพาตัวกลับไปสอบสวนที่ บช.ภาค 9 จ.ยะลา

โดย พล.ท.พรศักดิ์ พูลสวัสดิ์ แม่ทัพภาคที่ 4 ระบุว่า ทราบว่าทั้ง 2 คน เป็นคน 2 สัญชาติ เดินทางเข้ามาจากประเทศเพื่อนบ้าน ทางด่านชายแดน จ.นราธิวาส เป็นคนที่ไม่มีประวัติอาชญากร ไม่เคยถูกออกหมายจับมาก่อน

ขณะที่รายงานข่าวทราบว่า ทั้งคู่เดินทางขึ้นมาจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อขึ้นมาก่อเหตุโดยมีเป้าหมายตอบโต้เจ้าหน้าที่รัฐเรื่องไฟใต้อย่างชัดเจน รวมทั้งไม่พอใจแนวทางแก้ไขปัญหาความไม่สงบ

อย่างไรก็ตามยังไม่ได้ให้การซัดทอดกับกลุ่มคนอื่นๆ ที่เดินทางเข้ามาพร้อมกัน

จากการประเมินแล้วพบว่าทั้งหมดมีไม่ต่ำกว่า 15 คน เดินทางขึ้นมาก่อเหตุในวันเดียวกัน คือช่วงเย็นวันที่ 1 ส.ค. เพื่อวางระเบิดทั่วกรุง แล้วแยกย้ายเดินทางกลับทั้งรถไฟ และ รถทัวร์ เพื่อคาดหวังว่าเมื่อเกิดเหตุระเบิดแล้ว ทั้งหมดจะกลับถึงภูมิลำเนา และอาจเดินทางหลบหนีเข้าไปในประเทศเพื่อนบ้าน

แต่การวางระเบิดหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ใช้เวลามากเกินไป จนเป็นพิรุธ และมีผู้พบเหตุก่อน จึงถูกไล่ตามจากกล้องวงจรปิด และจับตัวได้ขณะนั่งรถทัวร์กลับภาคใต้

นอกจากนี้จากการไล่วงจรปิด พบว่าได้ร่องรอยคนก่อเหตุเพิ่มเติมอีก 2 คน ที่ลงมือที่ศูนย์ราชการ พบว่าเดินทางมาจากหาดใหญ่ เมื่อวันที่ 31 ก.ค. มาถึงสถานีขนส่งหมอชิต เช้าวันที่ 1 ส.ค. ก่อนจะซื้อตั๋วรถทัวร์ขากลับไปหาดใหญ่ช่วงเย็นวันที่ 1 ส.ค.

ก่อนที่จะเรียกแท็กซี่ไปยังห้างดังย่านรังสิต เมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า ก็แยกกันนั่งแท็กซี่ไปก่อเหตุ ทั้งที่แจ้งวัฒนะ และที่สำนักงานปลัดกลาโหม แล้วจึงนั่งแท็กซี่กลับมายังห้างดังกล่าว และนั่งรถทัวร์กลับหาดใหญ่

มีพยานยืนยันว่าพูดจาภาษายาวี

จึงเป็นเรื่องไฟใต้อย่างแน่นอน

สารภาพชัด-ปมไฟใต้

ขณะที่การทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจยังคงเข้มข้น โดยพล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ลงมาคุมคดีนี้ด้วยตัวเอง เพราะถือเป็นเหตุอุกอาจสะเทือนขวัญกลางกรุง

ขณะที่พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. เปิดเผยว่า 2 ผู้ต้องสงสัย วางระเบิดหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เมื่อวันที่ 1 ส.ค.ที่ผ่านมา พบว่าก่อนก่อเหตุมีการเดินทางเข้าออกนอกประเทศเพื่อนบ้าน ผ่านด่าน ตม.นราธิวาส ซึ่งกล้องวงจรปิดสามารถจับหน้าผู้ต้องสงสัยได้อย่างชัดเจน

ทั้งนี้ ผบ.ตร. สั่งการมายัง ผบช.สตม. กำชับไปยังทุกด่าน ตม. ทั้งทางอากาศ ทางบก และทางน้ำ ในการเพิ่มความเข้มงวด โดยเฉพาะด่าน ตม.ทางภาคใต้ ให้เก็บรายละเอียดและตรวจค้นยานพาหนะ ทั้งรถยนต์ รถจักรยานยนต์ เข้า-ออก พร้อมประสานไปยังหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ ทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบมากขึ้น

ล่าสุดเจ้าหน้าที่จับกุมตัวผู้ต้องสงสัยเพิ่มอีก 4 จับได้ที่ อ.สุไหงโก-ลก และ อ.แว้ง จ.นราธิวาส โดยบางคนถูกจับกุมได้ที่ด่านชายแดนไทย-มาเลเซีย ขณะจะเดินทางออกนอกประเทศไทย รวมจนถึงขณะนี้จับกุมผู้ต้องสงสัยได้แล้ว 6 คน ในจำนวนนี้มี 2 ผู้ต้องสงสัยวางระเบิดศูนย์ราชการ ถนนแจ้งวัฒนะ กทม. รวมทั้งนายลูไอ แซแง อายุ 23 ปี กับนายวิลดัน มาหะ อายุ 29 ปี ชาว จ.นราธิวาส มือวางระเบิดหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ขณะที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ บินด่วนลงไปสอบปากคำ นายลูไอ และนายวิลดัน ด้วยตัวเอง ซึ่งขณะนี้ถูกควบคุมตัวอยู่ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ส่วนหน้า อ.เมือง จ.ยะลา

จากการสอบสวนทราบว่าผู้ก่อการขึ้นมาก่อเหตุถึงใจกลางกรุงมีเป้าหมายเพื่อสร้างความปั่นป่วน ดิสเครดิตรัฐบาลในการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน และเพื่อให้ประเทศสมาชิกอาเซียนรับรู้ถึงปัญหาไฟใต้

หลังจากได้ข้อมูล พล.ต.อ.จักรทิพย์ ก็แถลงสรุปคดี ระบุว่าคนร้ายเป็นกลุ่มเดิมที่ก่อเหตุทางภาคใต้ แต่จะเป็นกลุ่มบีอาร์เอ็น หรือมาราปาตานี หรือกลุ่มอื่นๆ ในภาคใต้นั้นยังไม่สามารถระบุได้ เพราะกลุ่มดังกล่าวไม่เคยประกาศว่าตัวเองเป็นคนทำ

ทั้งนี้รายชื่อของผู้ที่ถูกควบคุมตัวขณะนี้ ได้แก่ 1.นายลูไอ แซแง อายุ 22 ปี, 2.นายวิลดัน มาหะ อายุ 29 ปี, 3.นายอิสมะแอ อาแบ ไม่ทราบนามสกุล คู่เขยนายวิลดัน, 4.นายมูฮัมหมัด อิลฮัม อายุ 28 ปี คู่เขยนายอิสมะแอ, 5.นายมูฮัมหมัด ฮาซัน อายุ 22 ปี, 6.นายอิลมี ไม่ทราบอายุและ นามสกุล และ 7.นายซูบกิฟลี อายุ 38 ปี ทั้งหมดเป็นชาวจังหวัดนราธิวาส

ทั้งหมดนี้ต้องชมฝีมือสืบสวนสอบสวนของตำรวจ ที่รู้รวดเร็วว่าการก่อเหตุเป็นเรื่องอะไร เพื่อจะได้หาแนวทางรับมือ

ไม่ให้ปัญหาลุกลามบานปลายมากกว่านี้

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน