คอลัมน์ แฟ้มคดี

ยังคงต้องเผชิญกับคำถามของสังคมอย่างต่อเนื่อง

สำหรับกรณีที่เจ้าหน้าที่ทหารวิสามัญฆาตกรรมหนุ่มนักกิจกรรมชาวลาหู่วัย 17 ปี คาด่านตรวจถาวร ที่ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่

โดยอ้างว่าพยายามต่อสู้ ขว้างระเบิดสังหารกับเจ้าหน้าที่

ทั้งที่ไม่เคยมีใครได้ยินประวัติว่ายุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดใดๆ จนองค์กรสิทธิมนุษยชนระดับโลก ต้องจี้ให้รัฐบาลสอบสวนข้อเท็จจริง

พร้อมขอให้เปิดหลักฐานจากกล้องวงจรปิดที่ติดอยู่ที่ด่าน

สังคมจะได้รับรู้เสียทีว่ามีอะไรเกิดขึ้นกันแน่

แต่แม้ผบ.ทบ. แม่ทัพภาคที่ 3 จะดูแล้วก็ตาม ก็ยังไม่มีการเปิดเผยต่อสาธารณะ

หนำซ้ำเมื่อย้อนเหตุการณ์ไปในอดีต ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดความขัดแย้งระหว่างทหารกับชาวลาหู่

เพราะก่อนหน้านี้เคยเกิดเหตุกลุ่มคนที่มากับทหาร บุกไปตบหน้าชาวบ้านถึงหมู่บ้านกองผักปิ้ง

หากไม่ชำระสะสางให้ดี

จะกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวได้ไม่ยาก

จี้เปิดวงจรปิดวิสามัญ‘ลาหู่’

หลังเหตุการณ์วิสามัญฆาตกรรม นายชัยภูมิ ป่าแส นักกิจกรรมชาวลาหู่ วัย 17 ปี ที่นั่งรถเก๋งฮอนด้าแจ๊ซ ผ่านด่านตรวจถาวร ที่อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 17 มี.ค. 2560

โดยเจ้าหน้าที่ระบุว่าได้เรียกตรวจค้นรถคันดังกล่าว และพบยาเสพติดประเภทยาบ้า 2,800 เม็ด ซุกซ่อนอยู่ในที่กรองอากาศของรถเก๋งคันดังกล่าว

จึงแสดงตัวจับกุม แต่นายชัยภูมิต่อสู้ขัดขืน ด้วยการชักมีด ออกมา และวิ่งหนีไป ก่อนพยายามจะปาระเบิดเข้าใส่

ทำให้เจ้าหน้าที่ทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ต้องใช้ปืนอาวุธสงคราม เอ็ม 16 ยิงปลิดชีพ

โดย พล.ท.วิจักขฐ์ สิริบรรสพ แม่ทัพภาคที่ 3 ระบุว่า จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดวันเกิดเหตุ พบว่าเป็นการจับกุมตามปกติ ทหารไม่ถืออาวุธใดๆ เลยในตอนแรก นอกจากชุดหน่วยปฏิบัติการพิเศษ ถืออาวุธเวลาเข้ายามตามปกติ เป็นการตรวจค้นรถธรรมดา

จนกระทั่งขัดขืนจึงจับอาวุธขึ้นมา ทหารไปสอบถาม เพราะมีรถเข้ามาคันเดียว แหล่งซ่อนยาเสพติดก็ไม่มาก เด็กอีกคนไม่วิ่ง เพราะไม่รู้ว่ามียาซุกซ่อน นายชัยภูมิที่วิ่งหนีแล้วต่อสู้ เพราะรู้ว่ามียาเสพติดซุกซ่อนในกระโปรงหลัง ในล้อยางรถยนต์ และซอกลำโพงด้านข้าง

ส่วนระเบิดที่ใช้หาง่ายตามแนวชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน หน่วยนี้ระมัดระวังในการทำงาน มีการติวเข้ม หัวหน้าหน่วยฝึกอบรมทบทวน ทำงานดี ฝึกลูกน้องดีมาก

“น้องพลทหารยิงเพียงนัดเดียว ขณะที่เขาทำท่าขว้าง ถ้าเป็นผม อาจกดออโต้ได้ เขาตั้งใจทำงานต้องให้กำลังใจเขา ยิงนัดเดียวก็สมเหตุสมผล ยิงตรงแขน แต่กระสุนชิ่งไปโดนจุดสำคัญ

อันนี้ก็เป็นบุญของน้องเขา มีเพียงแค่นี้”

ส่งผลให้เกิดข้อสงสัยและเรียกร้องให้เปิดเผยภาพจากกล้องวงจรปิดทั้งจากองค์กรเอกชน รวมทั้งโลกออนไลน์ที่ตั้งโต๊ะล่าชื่อ

แต่ก็ไม่เป็นผล

โดยพล.ท.วิจักขฐ์ระบุว่าได้ส่งมอบให้กับตำรวจ เพื่อใช้เป็นพยานในชั้นศาลเรียบร้อยแล้ว จึงไม่สามารถเปิดเผยได้ ยืนยันกองทัพไม่เคยปิดบัง แต่ขึ้นอยู่กับศาล

ด้านพล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ. ระบุว่า วงจรปิดนั้นไม่ได้บอกว่าให้เปิดหรือไม่เปิด แต่ก็มีเป็นหลักฐานประกอบ ขึ้นอยู่กับตำรวจจะพิจารณา ตนไม่สนใจกระแส อะไรที่พูดแล้วทำให้เจ้าหน้าที่ทำงานลำบาก็ไม่ควรพูด

“ส่วนตัวดูภาพวงจรปิดแล้ว เห็นว่ายังไม่ตอบโจทย์ทั้งหมด หากเปิดให้หลายคนดู เกรงว่าจะเกิดปัญหา ต่างคนต่างมองประเด็นที่แตกต่างกัน”

ขณะที่พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ระบุว่าหลักฐานอยู่ในสำนวนสอบสวนไม่สามารถเปิดเผยได้

แต่ก็สามารถใช้พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารทางราชการ พ.ศ.2540 ขอเปิดเผยข้อมูลได้ ส่วนจะอนุญาตหรือไม่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผบช.ภาค 5

หวั่นบานปลายน้ำผึ้งหยดเดียว

อีกด้านหนึ่งเจ้าหน้าที่รัฐ ตั้งแต่ระดับรองนายกฯ ผบ.ตร. ผบ.ทบ. แม่ทัพภาคที่ 3 ผบช.ภาค 5 จะออกมาให้สัมภาษณ์ยืนยันหนักแน่นตรงกันว่านายชัยภูมิเป็นผู้ค้ายาแน่นอน แถมมีพฤติกรรมใช้เงินทองฟุ่มเฟือย ซึ่งขัดกับการรับรู้ของกลุ่มนักกิจกรรมที่ระบุว่านายชัยภูมิเองเป็นนักกิจกรรมที่รณรงค์ให้เยาวชนห่างไกลยาเสพติด

จึงไม่แปลกที่จะเรียกร้องให้เปิดเผยข้อมูลและหลักฐานที่ชัดเจน นอกเหนือจากการกล่าวอ้างลอยๆ

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อได้เห็นภาพนิ่งขณะเข้าตรวจค้น โดยนายชัยภูมิ ยืนอยู่ข้างเจ้าหน้าที่อย่างปกติ ไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัวใดๆ ซ้ำยังช่วยเจ้าหน้าที่เปิดฝากระโปรงรถด้วยซ้ำ

จึงน่าสงสัยอย่างยิ่งว่าหลังจากการตรวจสอบแล้ว เหตุใดนายชัยภูมิ จึงวิ่งหนีพร้อมควักระเบิด ที่ไม่รู้ว่าซุกซ่อนที่ไหน เตรียมปาใส่เจ้าหน้าที่ได้?

นอกจากนี้ด่านตรวจดังกล่าว เป็นด่านถาวร ที่มีเจ้าหน้าที่ทหารประจำการอยู่ตลอดเวลา จนมีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าผู้ค้ายาที่ไหนจะกล้าขับผ่าน

และถึงแม้นายชัยภูมิ จะเป็นผู้ค้ายาเสพติด ขนยาบ้า 2.8 พันเม็ดผ่านด่านจริง

ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาสมควรถูกปืนสงครามเอ็ม 16 ของเจ้าหน้าที่ทหารยิงตาย

เรื่องนี้จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องสร้างความกระจ่าง โดยสื่อแต่ละแขนงก็พากันไปเกาะติดพร้อมรายงานคำสัมภาษณ์ของพยานที่อยู่ในเหตุการณ์

ซึ่งทั้งหมดเป็นคนละด้านกับข้อมูลของเจ้าหน้าที่รัฐ

แต่แทนที่จะมีการชี้แจงให้ชัดเจน กลับมีคำสั่งกสท.ให้ยุติการออกอากาศของโทรทัศน์ช่องวอยซ์ทีวี ที่ติดตามเกาะติดเรื่องนี้

โดยกสท.ระบุว่าถูกร้องเรียนซ้ำซาก โดยมีกรณีข่าววิสามัญฯนายชัยภูมิอยู่ด้วย

ทำตามกฎหมายไม่ได้เอาใจทหารแต่อย่างใด!??

และเมื่อไปตรวจสอบย้อนหลังก็พบว่า ชาวลาหู่ ในหมู่บ้านกองผักปิ้ง ที่นายชัยภูมิ อาศัยอยู่เคยมีปัญหากับเจ้าหน้าที่ทหาร

โดยเมื่อคืนวันที่ 31 ธ.ค.2557 ขณะที่ชาวลาหู่ฉลองปีใหม่ที่บ้านกองผักปิ้ง มีรถทหารเข้ามาจอด จากนั้นมีชายที่มากับทหารชี้หน้าเด็กและผู้ใหญ่ที่มานั่งผิงไฟ แล้วตบหน้าทุกคน โดยขณะนั้นมีคนถือปืนบอกว่าห้ามขยับ จากนั้นก็หนีหายไป

ทำให้ชาวบ้านต้องรวมตัวกันขอให้หน่วยทหารในพื้นที่ชี้แจงข้อเท็จจริง

โดยตอนแรกเจ้าหน้าที่ทหารปัดไม่รู้ไม่เห็น แต่สุดท้ายก็ยอมรับและขอโทษ

ทำให้สถานการณ์ความบาดหมางระหว่างชาวบ้านกับทหารลดน้อยลง

มาครั้งนี้ก็ยังเกิดเหตุบาดหมางอีก

กสม.ชี้เงินในบัญชีแค่ค่ากาแฟ

ขณะที่คดีความ ทางผบช.ภาค 5 มอบหมายให้ พ.ต.อ.มงคล สัมภวะผล รองผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ เป็นหัวหน้าทีมสืบสวนสอบสวน

โดยแบ่งเป็น 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1.การครอบครองยาเสพติดและต่อสู้ขัดขืนเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ 2.การเสียชีวิตโดยเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ และ 3.การชันสูตรพลิกศพโดยในส่วนของการชันสูตรพลิกศพนั้น หากทางญาติยังติดใจสงสัยสามารถร้องขอให้มีการชันสูตรพลิกศพใหม่ได้

นอกจากนี้กองทัพภาคที่ 3 ยังตั้งกรรมการสอบสวนคู่ขนานเป็นการภายในอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ขณะที่พนักงานสอบสวนกำลังทำงานตามขั้นตอน ระดับผู้ใหญ่ก็ประสานเสียงถึงรายละเอียดของคดีไปในทิศทางเดียวกัน โดยยืนยันว่านายชัยภูมิ เป็นผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติดอย่างแน่นอน

โดยพล.ต.อ.จักรทิพย์ระบุว่า คดีนี้ไม่มีอะไรสลับซับซ้อน ไม่หนักใจ เป็นคดียาเสพติดทั่วไป

ด้านพล.ต.ท.พูลทรัพย์ ประเสริฐศักดิ์ ผบช.ภาค 5 ก็ยืนยันว่านายชัยภูมิ เป็นผู้ค้ายาเสพติด เงินโอนเข้าบัญชีเป็นประจำทุกเดือน ก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่เคยล่อซื้อ แต่นายชัยภูมิไหวตัวทัน จึงหลบหนีไปได้ แถมยังมีพฤติการณ์ข่มขู่พยานในคดีด้วย

ขณะที่กสม. โดยนางอังคณา นีละไพจิตร ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยนางอังคณาระบุว่า จากการลงพื้นที่พบว่า นายไมตรี จำเริญสุขสกุล ประธานกลุ่มรักษ์ลาหู่ ที่อยู่ในพื้นที่ และเป็นพยานอีกคนในคดี ถูกคุกคาม

หลังเกิดการวิสามัญฯ มีชาย 2 คนมาหานายไมตรี พร้อมขู่ห้ามพูดอะไร ห้ามให้ข่าวสื่อมวลชน ต่อมากลางดึกมีคนมาเดินหน้าบ้าน ออกมาดูพบกระสุนปืน 1 นัด จากนี้จะประสานไปยังกรมคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม เพื่อให้ช่วยเหลือคุ้มครองพยาน

ด้านนางเตือนใจ ดีเทศน์ อนุกสม. ระบุว่า จากการตรวจสอบถึงบ้านนายชัยภูมิ พบว่าเป็นบ้านไม้ซ่อมซ่อ ห้องน้ำมีเพียงผนัง ไม่มีแม้แต่หลังคา ส่วนเงินที่โอนเข้าบัญชี เป็นเงินที่ได้จากการทำธุรกิจกาแฟร่วมกับพี่ที่อุปการะ แต่ก็เป็นเงินหลักพันบาท ไม่ถึงหลักหมื่น

แต่ถ้าผบช.ภาค 5 มีหลักฐานเชื่อมโยงไปถึง ก็ขอให้เปิดเผยข้อมูลต่อสังคม

รวมถึงเหตุการณ์วันเกิดเหตุก็ควรนำมาเปิดเผยต่อสาธารณะ เพื่อไม่ให้กลายเป็นไฟลามทุ่ง หรือน้ำผึ้งหยดเดียว

นอกจากนี้ยังเรียกร้องให้มีการชันสูตรพลิกศพโดยละเอียด

เพื่อให้ชัดเจนว่านายชัยภูมิ ถูกซ้อมทรมานก่อนเสียชีวิตตามที่สังคมสงสัย หรือไม่

หากไม่เอาความจริงมาเปิดเผย การจะเกิดน้ำผึ้งหยดเดียวคงไม่ยาก

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน