อุทาหรณ์คดี‘น้ำผึ้งหยดเดียว’
พระฆ่าพระ-ฉุนปลุกฉันเพล
ยอดผักบุ้งล้ำที่-พี่ฟันน้องดับ
คอลัมน์ สดจากสนามข่าว
อุทาหรณ์คดี‘น้ำผึ้งหยดเดียว’ – สังคมไทยปรับเปลี่ยนรูปโฉมไปชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ จากวิถีชีวิตที่ช่วยเหลือพึ่งพา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่กัน กลายเป็นสังคมเดี่ยวต่างคนต่างอยู่ แถมยังยึดติดหลักกูมากกว่าหลักการ เมื่อมีการกระทบกระทั่งกันเรื่องราวมักลุกลามบานปลายใหญ่โต ถึงขนาดต้องเสียเลือด เสียเนื้อ หรือหนักขนาดสูญชีวิต ทั้งที่หลายครั้งเกิดจากเรื่องไม่เป็นเรื่องโดยแท้
ล่าสุดเกิดเหตุฆาตกรรม 2 รายซ้อน ที่มีปฐมบทจากสิ่งไร้สาระอย่างสิ้นเชิง
พระจตุรนต์ ทำแผนฯ นาทีก่อเหตุ
คดีแรกเกิดขึ้นเมื่อสายบ่ายวันที่ 2 ก.ย. พ.ต.ท.มานะ บุญตติยานุกูล สว.สอบสวน สภ.ละแม จ.ชุมพร รับแจ้งเหตุพระสงฆ์ทะเลาะวิวาทกันในวัดโสมศิริ ม.5 ต.ทุ่งหลวง
เมื่อนำกำลังรุดไปตรวจสอบก็ต้องพบกับเรื่องที่สะเทือนใจพุทธศาสนิกชนเป็นอย่างมาก
เพราะเห็นภาพ พระจตุรนต์ เทศพิทักษ์ อายุ 56 ปี พระลูกวัดโสมศิริ กำลังใช้แป๊บเหล็กกระหน่ำฟาดพระรุ่งตะวัน รวิวัณโณ อายุ 22 ปี อย่างบ้าคลั่งไม่ยั้งมือ จนพระหนุ่มชักดิ้นชักงอด้วยความเจ็บปวดอยู่กับพื้น โดยไม่ใส่ใจเสียงญาติโยมที่ตะโกนห้ามปราม
เมื่อเจ้าหน้าที่ต้องตัดสินใจชาร์จเข้าล็อกตัวพระ จตุรนต์ไว้ได้ในที่สุด ขณะที่เหยื่อแป๊บสิ้นสติไปแล้ว เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยละแมรีบนำส่งรักษาตัวที่ร.พ.ละแม ในสภาพเป็นตายเท่ากัน
พระรุ่งตะวัน เหยื่อแป๊บ-นอนโคม่า 1 วันก่อนมรณภาพ
สอบสวนทราบว่า ก่อนเกิดเหตุชาวบ้านจัดพิธีทำบุญถวายภัตตาหารเพล เพื่อบำเพ็ญกุศลศพ โดยนิมนต์พระทั้งวัด แต่พระจตุรนต์จำวัดอยู่ไม่ออกมาเสียทีทำให้ญาติโยมและพระรูปอื่นต้องคอยเป็นเวลานาน
เจ้าอาวาสจึงให้พระรุ่งตะวันไปเรียกอีกครั้ง จนพระจตุรนต์ตื่นพร้อมทั้งออกอาการไม่พอใจ และก่อเหตุทะเลาะวิวาทกับพระรุ่งตะวันถึงขนาดชกต่อยกัน พระจตุรนต์อายุมากกว่าสู้ไม่ได้ และชาวบ้านช่วยกันห้ามปรามจับพระทั้งคู่แยกย้ายกัน
พระจตุรนต์กลับควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ คว้าท่อแป๊บเหล็กยาวร่วม 1 เมตร ไปดักรอพระรุ่งตะวัน บริเวณหน้าห้องน้ำ พอพระรุ่งตะวันเดินผ่านมาก็ฟาดศีรษะจนล้มฟุบกับพื้นดิน และยังกระหน่ำตีซ้ำชนิดไม่มีนับ กระทั่งตำรวจเข้ามาควบคุมสถานการณ์ได้ในที่สุด
หลังทราบเรื่องพระราชวิจิตรปฏิภาณ เจ้าคณะจังหวัดชุมพร มีคำสั่งให้เจ้าคณะอำเภอละแมสึกพระจตุรนต์ทันที ก่อนให้ตำรวจควบคุมตัวไปดำเนินคดี ข้อหาทำร้ายร่างกายผู้อื่นได้รับบาดเจ็บสาหัส
แต่เรื่องยังไม่จบที่ตรงนั้น เพราะพระรุ่งตะวันทนพิษบาดแผลไม่ไหว ต้องยอมให้ยมทูตพรากวิญญาณออกจากร่างในวันที่ 3 ก.ย. ตำรวจจึงเปลี่ยนข้อกล่าวหาพระจตุรนต์ เป็นทำร้ายผู้อื่นเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย
ถัดมาเพียง 1 วัน ร.ต.อ.เศรษฐา สาระนันธ์ รอง สว.สอบสวน สภ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี รับแจ้งเหตุฆ่ากันตาย โดยผู้เสียชีวิตจมในแม่น้ำบางขาม ม.1 ต.บางพึ่ง ในวันที่ 4 ก.ย.
เมื่อนำกำลังรุดไปตรวจสอบพร้อม เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน แพทย์ร.พ.บ้านหมี่ และเจ้าหน้าที่ประดาน้ำกู้ภัยสว่างอริโยธรรมสถานบ้านหมี่
หลังนักประดาน้ำลงงมใต้ก้นแม่น้ำอยู่นานครึ่งชั่วโมงก็พบศพนางบัวงาม ศรีเจือทอง อายุ 63 ปี อยู่บ้านเลขที่ 77 ม.2 ต.บางพึ่ง สภาพศีรษะมีรอยถูกอาวุธมีดฟันจนเป็นแผลฉกรรจ์ นิ้วชี้ข้างขวาถูกฟันขาดหายไป
ชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ให้ปากคำว่า ก่อนเกิดเหตุผู้ตายได้ลงไปเก็บผักบุ้งในแม่น้ำหลังบ้าน ต่อมานายบำรุง แสนบางพึ่ง อายุ 73 ปี พี่ชายของผู้ตายมายืนพูดคุยด้วย
จนท.งมศพนางบัวงามขึ้นจากน้ำ
ก่อนเกิดมีปากเสียงกันอย่างรุนแรงเกี่ยวกับแพผักบุ้งของผู้ตายได้รับน้ำฝนจนทอดยอดไปรุกล้ำที่ดินในครอบครองของนายบำรุง
จากนั้นนายบำรุงใช้อาวุธมีดที่ถือมาฟันไปยังที่หัวน้องสาว แต่ผู้ตายได้ยกมือบังทำให้คมมีดไปถูกที่นิ้วชี้มือจนขาด แต่ยังไม่หนำใจพี่ชายหัวร้อนยังใช้อาวุธมีดกระหน่ำฟันไปบนศีรษะของน้องสาว จนทำให้ ผู้ตายได้รับบาดเจ็บสาหัส เซถลาตกลงไปในแม่น้ำ และจมหายไปจนเสียชีวิตในที่สุด
ล็อกตัวนายบำรุงผู้เฒ่าหัวร้อน
ต่อมาเจ้าหน้าที่จับกุมนายบำรุงในบ้านพักติดจุดเกิดเหตุ โดย ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพหมดทุกข้อกล่าวหา จึงคุมตัวไว้ดำเนินคดีข้อหาฆ่าคนตายโดยเจตนา
เหตุการณ์ทั้ง 2 เรื่อง 2 คดีนี้ นับเป็นอุทาหรณ์อย่างดีสำหรับคนเลือดร้อน ที่มีอะไรนิดหน่อยก็โมโหโทโสวู่วามก่อเรื่องใหญ่จากต้นเหตุด้วยน้ำผึ้งเพียงหยดเดียวเท่านั้น
