รวบแก๊งตำรวจนอกแถว อุ้ม2หนุ่ม-ซ้อม-รีดทรัพย์ สอบรูด‘พตท.ยันสตท.’ : คอลัมน์ สดจากสนามข่าว

อาชีพตำรวจกับผลประโยชน์อันมิชอบ ต้องเดินเป็นเส้นขนานที่จะไม่มีวันมาบรรจบพบกัน แต่หากวันใดที่ความเย้ายวนของผลประโยชน์เข้าครอบงำจนสูญเสียอุดมการณ์ อาจลุกลามฉาวโฉ่ไปถึงองค์กรจนกลายเป็นวิกฤตศรัทธาได้

เช่นเรื่องราวที่ถูกเปิดเผยขึ้นเมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 24 ต.ค. ที่กองปราบปราม โดยนายกำพล เสือดาว อายุ 62 ปี ชาว จ.กาญจนบุรี พร้อมด้วยครอบครัว เดินทาง เข้าพบ ร.ต.อ.สมพิศ อ่อนมา รอง สว.กก. 5 บก.ป. เพื่อร้องขอความเป็นธรรม กรณีนายสุรัช เผือกพันธ์ด่อน อายุ 23 ปี หลานชาย ถูกกลุ่มชายฉกรรจ์อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจบุกทำร้ายร่างกายถึงภายในบ้านพัก ก่อนพาตัวหายออกจากบ้านไปตั้งแต่เช้ามืดวันที่ 23 ต.ค. ที่ผ่านมา

สดจากสนามข่าว

แก๊งตร.นอกแถวถูกจับ

นายกำพลกล่าวว่า หลานชายถูกรุมทำร้ายจนดั้งหัก เลือดไหลอาบหน้าจนสลบแน่นิ่งไป เสร็จแล้วก็จับถอดเสื้อผ้าใส่กุญแจมือแล้วพาตัวไปส่งที่ร.พ.สมเด็จพระ สังฆราช ที่ 19 หรือ ร.พ.ท่าม่วง ตนและญาติพี่น้องจึงรีบติดตามไป แต่เมื่อไปถึงกลุ่มเจ้าหน้าที่กลับรีบพาตัวนายสุรัชออกจากร.พ. โดยอ้างว่าจะนำตัวนายสุรัชไปขยายผลคดี ก่อนจะพาหลานชายออกจากร.พ.ไปทันที จนถึงตอนนี้ยังไม่ทราบชะตากรรมของหลานชายว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร

หลังเป็นข่าวออกไป วันรุ่งขึ้นนายกำพลแจ้งว่าหลังกลับมาถึงบ้านทางเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรท่าม่วงได้เดินทางมารอรับแจ้งความถึงที่บ้าน จากนั้นเวลาประมาณ 04.00 น. ถึง 05.00 น. ขณะที่ตนกำลังนอนพักผ่อนอยู่ ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจโทร.มาแจ้งว่าพบตัวของนายสุรัชแล้วให้ตนรีบเดินทางไปที่โรงพยาบาลสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 19

สดจากสนามข่าว

นายสุรัช เผือกพันธ์ด่อน ถูกทำร้ายสาหัส

เมื่อตอนไปถึงก็พบนายสุรัชอยู่ในสภาพมีเลือดออกหลายแห่งและนอนไม่ได้สติร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวดอยู่ ยังไม่สามารถให้ข้อมูลใดๆ ได้ แถมยังอยู่ระหว่างถูกอายัดตัวดำเนินคดีที่สภ.ท่าม่วง แต่ตำรวจไม่ได้ระบุว่านายสุรัชถูกใครทำร้ายร่างกาย

ขณะที่พ.ต.อ.เนติ วงษ์กุหลาบ ผกก.5 ป. เผยว่าหลังรับแจ้งส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง เบื้องต้นทราบว่ากลุ่มชายฉกรรจ์เป็นตำรวจจริง สังกัดศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศอ.ปส.ตร.) ส่วนสาเหตุที่นำตัวนายสุรัชออกไปจากบ้านนั้น เพื่อนำตัวไปขยายผลหาผู้ร่วมกระทำผิดและยาเสพติดของกลาง ล่าสุดส่งตัวนายสุรัชให้พนักงานสอบสวน สภ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี รับตัวไปดำเนินคดีในข้อหาครอบครองยาเสพติดไว้เพื่อจำหน่าย พร้อมของกลางยาบ้า 60 เม็ด

สดจากสนามข่าว

นายสุรัช เผือกพันธ์ด่อน

ส่วนกรณีที่ญาติติดใจเกี่ยวกับวิธีการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ใช้ความรุนแรงนั้น สามารถแจ้งความดำเนินคดีได้ หรือหากเกรงจะไม่ได้รับความเป็นธรรมก็เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับกองปราบฯ ได้เช่นกัน พร้อมให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย

เรื่องราวยังไม่จบแค่นี้ เพราะเมื่อวันที่ 24 ต.ค. เจ้าหน้าที่ทหารฝ่ายข่าว กองกำลังสุรสีห์ กองพลทหารราบที่ 9 จ.กาญจนบุรี พร้อมด้วยตำรวจชุดสืบสวนภ.จว.กาญจนบุรี ซ้อนแผนจับกุมชาย 4 คน โดยเป็นร.ต.อ.ตำแหน่งรองสว.สส.สภ.ท่าม่วง ช่วยราชการ ศอ.ปส.ตร. จ.ส.ต. ส.ต.ท. ทั้ง 3 นายสังกัดเดียวกัน ส่วนอีกคน เป็นอาสาสมัครตำรวจบ้าน

สดจากสนามข่าว

บ้านที่เกิดเหตุ

หลังญาตินายศราวุฒิ สมศรี ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกับนายสุรัช ให้การว่านายศราวุฒิ ถูกชายฉกรรจ์อ้างตัวเป็นตำรวจจับกุมในข้อหาครอบครองยาเสพติดไว้เพื่อจำหน่าย และเรียกรับเงิน 200,000 บาท แลกกับเปลี่ยนข้อหาให้เบาลง แต่ทางญาติไม่มีเงินและเกรงว่าจะเกิดอันตราย จึงมาขอความช่วยเหลือ

กองกำลังสุรสีห์จึงประสานกองกำกับการสืบสวนสอบสวน กองบังคับการตำรวจภูธร จ.กาญจนบุรี วางแผนจับกุมโดยซ้อนแผนให้ญาตินายศราวุฒิยินยอมนำเงินไปมอบให้ โดยนัดให้มารับเงินที่บ้านพักนายศราวุฒิ อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี โดยผู้ต้องหาอ้างตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่ชุดปราบปรามยาเสพติด พร้อมกับโทรศัพท์ติดต่อไปยังสารวัตรท่านหนึ่ง พร้อมกับแจ้งข่าวว่า เรื่องที่สารวัตรสั่งให้มารับของได้ถูกเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจเข้าจับกุม

ก่อนที่เรื่องราวจะบานปลาย พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) รีบออกมาสยบความไม่พอใจ ของญาติว่า ล่าสุดพล.ต.ต.วรณัน สุขเจริญ ผบก.ภ.กาญจนบุรี มีคำสั่งแต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าว

ทั้งคดีที่ พ.ต.ท. ชุดศอ.ปส.ตร.กับพวก ถูกกล่าวหาว่าบุกอุ้มนายสุรัช และการจับกุม ร.ต.อ.กับพวกในข้อหาเรียกรับเงินจากญาติ นายศราวุฒิ โดยให้คณะกรรมการดำเนินการตรวจสอบด้วยความรวดเร็ว บริสุทธิ์ ยุติธรรม เสร็จสิ้นตามระยะเวลาที่กรอบกฎหมายกำหนด โดยหากพบว่ามีการกระทำความผิดมีข้อบกพร่อง ก็จะดำเนินการทางวินัยและอาญาอย่างเด็ดขาด

“การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องปฏิบัติภายใต้ขอบเขตของกฎหมายที่กำหนด โดยหลักแล้วก่อนการตรวจค้นทุกครั้งเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนจะมีการแสดงบัตร เพื่อระบุตัวตนให้อีกฝ่ายทราบ และหากระหว่างการตรวจค้นพบสิ่งของผิดกฎหมายสามารถดำเนินการจับกุมได้ ซึ่งหน่วยงานต้นสังกัดต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยละเอียดอีกครั้งหนึ่ง หากพบว่ามีข้อบกพร่องหรือเกินกว่าขอบเขตและอำนาจหน้าที่ตามที่กฎหมายได้ให้ไว้ จะมีบทลงโทษทั้งทางวินัยและอาญาต่อไป ซึ่งก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย” พ.ต.อ.กฤษณะกล่าว

โดย คมกฤช ราชเวียง/ธานี ทวีเกิด/เกตุแก้ว จงเจริญ/เรื่อง/ภาพ

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน