ปมสั่งเด้ง2รองผบ.ตร. สั่ง‘บิ๊กโจ๊ก’รักษาวินัย
เจ้าตัวลาบวชอินเดีย โดนอีก–คดีฟ้องเท็จ
คอลัมน์ แฟ้มคดี
ปมสั่งเด้ง2รองผบ.ตร.สั่ง‘บิ๊กโจ๊ก’ : เป็นศึกวงการสีกากีที่ต้องติดตาม
สำหรับความขัดแย้งระหว่าง พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตนายตำรวจคนดัง กับ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.
ที่จุดชนวนจากเหตุยิงรถหรูเลกซัสของพล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ก่อนลามมาเป็นการจุดพลุเรื่องร้องเรียนจัดซื้อระบบไบโอเมทริกซ์ของตำรวจตรวจคนเข้าเมืองที่คาอยู่ที่ป.ป.ช.
งานนี้ก็ทุ่มสุดตัวเดินสายให้สัมภาษณ์ถี่ยิบ แต่ระหว่างรอลุ้นให้เรื่องจุดติดหรือไม่
ก็เกิดฟ้าผ่าขึ้นมาเมื่อพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ มีคำสั่งกำชับให้พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ รักษาจรรยา วินัยข้าราชการ ไม่ประพฤติชั่วร้ายแรง
กับคำสั่งเด้ง 2 รองผบ.ตร. ซึ่งเชื่อว่าเชื่อมโยงเรื่องดังกล่าวอย่างแน่นอน
แม้พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ จะหาทางออกด้วยการเดินทางไปบวช ที่ประเทศอินเดีย
แต่ล่าสุดก็มีเรื่องฟ้องร้องที่ศาลอาญา ฐานแจ้งเท็จและเบิกความเท็จ
ก็ดูว่าหลังจากนี้ชะตาชีวิตของพล.ต.ท.สุรเชษฐ์จะเป็นอย่างไรต่อไป
บิ๊กโจ๊กบวช
■ เปิดคำสั่ง‘บิ๊กโจ๊ก’รักษาวินัย
วันที่ 24 ม.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ลงนามในคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 1/2563 เรื่อง ให้ข้าราชการรักษาจรรยาและวินัยข้าราชการ
ระบุว่า ตามที่ได้มีคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 2/2562 ลงวันที่ 9 เม.ย. 2562 สั่งให้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ขาดจากการเป็นข้าราชการตำรวจ และให้โอนไปเป็นข้าราชการพลเรือนเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในกรอบอัตรากำลังชั่วคราวเป็นกรณีพิเศษในสำนักนายกรัฐมนตรี ตามมาตรการแก้ไขปัญหาเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ระหว่างถูกตรวจสอบซึ่งเป็นตำแหน่งที่ได้รับเฉพาะเงินเดือน โดยไม่ได้รับเงินประจำตำแหน่งและสิทธิประโยชน์ประจำตำแหน่งนั้น
เพื่อให้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ รักษาจรรยาและวินัยข้าราชการ และเพื่อให้การปฏิบัติงานของข้าราชการดังกล่าวเป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง อาศัยอำนาจตามข้อ 1 (1) ของบัญชี ห้าท้ายคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 9/2562 ลงวันที่ 9 กรกฎาคม 2562 มาตรา 87 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 และหนังสือสำนักงาน ก.พ. ที่ นร 1011/ว 12 ลงวันที่ 21 สิงหาคม 2556 นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอำนาจสั่งบรรจุและแต่งตั้งจึงเห็นสมควรกำชับให้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ รักษาจรรยาและวินัยข้าราชการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเหตุ ดังต่อไปนี้
1.ไม่กระทำการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ไม่ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยทุจริต ไม่รายงานเท็จต่อผู้บังคับบัญชา ไม่ปฏิบัติราชการอันเป็นการกระทำการข้ามผู้บังคับบัญชาเหนือตน ไม่อาศัยตำแหน่งหน้าที่ราชการของตนหาประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่น ไม่ประมาทเลินเล่อในหน้าที่ราชการ ไม่ละทิ้งหรือทอดทิ้งหน้าที่ราชการ ไม่กระทำการอันเป็นการกลั่นแกล้ง กดขี่ ข่มเหงกันในการปฏิบัติราชการ ไม่ดูหมิ่นเหยียดหยามประชาชน
2.ปฏิบัติหน้าที่ราชการให้เป็นไปตามกฎหมาย กฎระเบียบ ของทางราชการ ด้วยความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้ อุทิศเวลาของตนให้แก่ราชการ รักษาความลับของทางราชการ มีความสุภาพ เรียบร้อย รักษาความสามัคคี ช่วยเหลือการปฏิบัติราชการระหว่างข้าราชการด้วยกันและผู้ร่วมปฏิบัติราชการ
ทั้งนี้ ให้ข้าราชการดังกล่าวปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ แต่ให้งดการมอบหมายงานพิเศษและสำคัญ และหากมีกรณีไม่รักษาจรรยาและวินัยข้าราชการให้ผู้บังคับบัญชาดำเนินการทางวินัยต่อไป
และไม่ใช่เพียงถูกคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาเท่านั้น ยังมีคดีความที่พ.ต.อ.กฤษณะ กัญจน์ชัยกิจ ผกก.สอบสวน กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.จชต. บช.ภาค 9 ยื่นฟ้องศาลอาญา ในคดีฟ้องเท็จ โดยกล่าวหาว่าพ.ต.อ.กฤษณะ เป็นผู้พาเจ้าของร้านคาราโอเกะในจ.นครพนม หนีคดีไปลาว เหตุเกิดเมื่อเดือนพ.ย.2553 ซึ่งศาลยกคำร้อง และในวันที่ 10 ต.ค. 2557 ศาลอุทธรณ์ พิพากษายกฟ้องเช่นกัน ทำให้คดีถึงที่สุด
พ.ต.อ.กฤษณะจึงยื่นฟ้องพล.ต.ท. สุรเชษฐ์ ฐานฟ้องเท็จ และเบิกความเท็จ โดยศาลอาญาไต่สวนแล้วมีมูล ประทับรับฟ้องและนัดสอบคำให้การในวันที่ 30 มี.ค. 2563 เวลา 13.30 น.
เป็นอีกมรสุมที่พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ต้องเผชิญ
■ บินอินเดีย–ขอลาบวช 9 วัน
ขณะที่นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า หลังจากที่คำสั่งออก พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ เดินทางมารับทราบคำสั่งเรียบร้อย
ก่อนที่จะยื่นหนังสือลากิจถึงวันที่ 9 ก.พ. แล้วเดินทางพร้อมครอบครัวไปยังอินเดีย เพื่อขออุปสมบทที่วัดไทยพุทธคยา พร้อมระบุว่าเป็นการบวชเพื่อทดแทนคุณพ่อแม่ เป็นการวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ ไม่ได้เป็นเรื่องการเมืองแต่อย่างใด
ส่วนนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ เผยว่าคงไม่ได้ใช้สิทธิลาบวช แต่ข้าราชการสามารถลากิจได้ไม่เกิน 10 วันอยู่แล้ว ซึ่งพล.ต.ท.สุรเชษฐ์ สามารถลาได้ และไม่กระทบต่อราชการ เพราะคำสั่งก็ระบุไว้แล้วว่าห้ามไม่ให้มอบหมายงานสำคัญ
จากนั้นเมื่อวันที่ 28 ม.ค. พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล หรือบิ๊กโจ๊ก ได้เข้าพิธีอุปสมบทแล้วที่วัดไทยพุทธคยา ประเทศอินเดีย ได้ฉายา สุรเชฏฺฐโพธิ แปลว่า ผู้มีปัญญาเครื่องตรัสรู้ซึ่งเจริญที่สุดด้วยความกล้าหาญ
อย่างไรก็ตามพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ก็ระบุกรณีพล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ยื่นใบลาเพื่อขอลาไปอุปสมบท ที่ประเทศอินเดียว่า ยืนยันว่าไม่ได้มาลาตนก่อนไปบวช อีกทั้งยังไม่ได้มีการพูดคุยหรือเจอกับพล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หลังมีคำสั่งเตือนของนายกฯ ออกมา
“ไม่ได้เจอกันนานแล้ว เพราะเขาก็ไปทำงานของเขา ยอมรับว่าก่อนหน้านี้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ทำงานอยู่กับผม แต่หลังจากที่ออกไปแล้วเขาก็ไปทำงานในส่วนอื่น ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผมอีก”
ส่วนที่ระบุว่าคำสั่งเตือนการปฏิบัติหน้าที่ จะสร้างรอยร้าวระหว่างพล.อ.ประยุทธ์ และพล.อ.ประวิตร นั้น พล.อ.ประวิตรระบุว่า “ไม่มี เรื่องเรากับนายกฯ เลิกพูด เพราะอยู่กันมาตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่เราเป็นร.อ. และร.ต. อยู่ด้วยกันมาตลอดจนเกษียณอายุราชการ”
ส่วนที่นายกฯ จะตัดสินใจทำอะไรก็มาคุยกันทุกเรื่อง รวมทั้งเรื่องการเตือนพล.ต.ท.สุรเชษฐ์ด้วย
เป็นความสัมพันธ์ที่ไม่เหมือนเดิม
■ เด้งรูด 2 รองผบ.ตร.
ไม่เพียงแค่นั้น ยังมีบิ๊กตร.ระดับรองผบ. ถูกสั่งย้ายในช่วงเดียวกัน ประกอบด้วยพล.ต.อ.ชัยวัฒน์ เกตุวรชัย รองผบ.ตร. ที่พล.ต.อ.จักรทิพย์ มีคำสั่งให้ไปปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อาคาร 1 ชั้น 20 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยขาดจากการปฏิบัติหน้าที่ทางตำแหน่งเดิม เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามที่ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มอบหมายตั้งแต่วันที่ 23 ม.ค.
ขณะที่พล.อ.ประยุทธ์ มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี โดย ระบุว่า จากกรณีสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รายงานว่า พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รอง ผบ.ตร. มีพฤติการณ์และการกระทำซึ่งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ ในการอำนวยการยุติธรรม กระทบต่อภาพลักษณ์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และการปฏิบัติราชการของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นเหตุให้ราชการเสียหาย สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบแล้ว
เพื่อประโยชน์แก่การตรวจสอบเรื่องดังกล่าวและเรื่องอื่นๆ ในมูลกรณีที่ประชาชนร้องเรียนเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติอยู่ระหว่างตรวจสอบให้เป็นไปอย่างโปร่งใสมีความน่าเชื่อถือ และเพื่อให้เป็นที่ยอมรับแก่ประชาชนและผู้ร้องเรียน สมควรพิจารณาสั่งการให้ พล.ต.อ.วิระชัย ไปปฏิบัติราชการนอกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
มีคำสั่งให้ พล.ต.อ.วิระชัย มาปฏิบัติราชการสำนักนายกรัฐมนตรี โดยไม่ขาดจากอัตราเงินเดือนทางสังกัดเดิม และให้ได้รับเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง เงินเพิ่มพิเศษและสิทธิประโยชน์อื่นใดไม่ต่ำกว่าที่ได้รับอยู่เดิม โดยเบิกจ่ายจากสังกัดเดิม ตั้งแต่วันที่ 23 ม.ค.
ต่อด้วยพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้นายตำรวจชั้นสัญญาบัตร พ้นจากการปฏิบัติหน้าที่นายตำรวจ ราชองครักษ์ ประกอบด้วย 1.พล.ต.อ.ชัยวัฒน์ และ 2.พล.ต.อ. วิระชัย ตั้งแต่วันที่ 21 ม.ค.
สำหรับประเด็นการโยกย้ายที่สะเทือนวงการสีกากีครั้งนี้ เชื่อว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณีที่ 2 คนร้ายขี่จยย.ยิงถล่มรถเก๋งเลกซัสของพล.ต.ท.สุรเชษฐ์ เมื่อวันที่ 6 ม.ค.ที่ผ่านมา
หลังจากเกิดเหตุพล.ต.อ.วิระชัย ก็เดินทางไปคุมคดีด้วย ตัวเอง ส่วนพล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ก็ยืนยันทันทีว่าเกิดจากปมร้องเรียนทุจริตไบโอเมทริกซ์ที่อยู่ในป.ป.ช. ตามมาด้วยเสียงคลิปหลุดของ บิ๊กตร. ที่สั่งการเกี่ยวกับคดีดังกล่าว
ชัดเจนว่าพุ่งเป้าไปที่ตัวผบ.ตร.อย่างไม่กระมิดกระเมี้ยน
แต่แทนที่เก้าอี้ผบ.ตร.จะสั่นคลอน กลับเป็นเหล่าบิ๊กตร.ที่ถูกย้ายกันระเนระนาด
ส่วนผลสรุปจะเป็นอย่างไร คงต้องติดตามตอนต่อไป