ตัดสินอีกหนึ่งคดีม็อบปี53 อุทธรณ์คุก2ปีจ่าประสิทธิ์ พลิกสำนวนคดีเลือด99ศพ ผ่านมา10ปี-ยังไม่ส่งฟ้อง : แฟ้มคดี

เป็นอีก 1 คดีที่เกี่ยวพันกับการชุมนุมทางการเมืองเมื่อปี 2553

สำหรับการครอบครองยุทธภัณฑ์ เสื้อเกราะและหมวกปราบจลาจลของ จ่าประสิทธิ์ ไชยศรีษะ อดีตส.ส.สุรินทร์และแกนนำคนเสื้อแดง

ที่ศาลอุทธรณ์เพิ่งพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ให้จำคุก 2 ปีไม่รอลงอาญา

ในความผิดครอบครองยุทธภัณฑ์ และรับของโจร

เนื่องจากไม่เชื่อตามที่จ่าประสิทธิ์กล่าวอ้างว่าไม่รู้ว่าอุปกรณ์ดังกล่าว มาอยู่ท้ายรถได้อย่างไร

จนจำเลยต้องต่อสู้อีกเป็นครั้งสุดท้ายในชั้นศาลฎีกา

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างก็คือการครบรอบ 10 ปี ของการชุมนุมเมื่อปี 2553 คดีต่างๆ เดินหน้าและมีบทสรุป

แต่หลักใหญ่ใจความสำคัญ คือคดีเลือด 99 ศพ กลับยังไม่มีความชัดเจน

แถมยังมีบางส่วนสั่งยุติการสอบสวน ให้เป็นคดีมุมดำ

แต่ก็ต้องจับตา 17 สำนวนการตายที่ศาลไต่สวนไว้เรียบร้อย

รอเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม แต่ก็ยังนิ่งเงียบอยู่

แฟ้มคดี

รำลึกเหยื่อ 99 ศพ

 

อุทธรณ์คุก 2 ปีจ่าประสิทธิ์

สำหรับการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 4 ก.พ.ที่ผ่านมา โดยศาลอาญาอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีหมายเลขดำที่ อ.1937/2560 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ฟ้อง จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ไชยศรีษะ อายุ 53 ปี อดีตส.ส.สุรินทร์ และแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (น.ป.ช.)

ในความผิด พ.ร.บ.ควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ.2530 มาตรา 4, 15, 42 และรับของโจร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 เนื่องจากครอบครองเสื้อเกราะกันกระสุน และหมวกนิรภัยปราบจลาจล

โดยอัยการยื่นฟ้อง ระบุว่า เมื่อวันที่ 22 เม.ย. 2553 เวลาประมาณ 20.00 น. ขณะที่เจ้าหน้าที่ทหารพร้อมชุดเคลื่อนที่เร็วของกองทัพภาคที่ 1 ใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะประมาณ 50 คัน ลาดตระเวนบริเวณสะพานข้ามแยกตลาดปีนัง คลองเตย ถนนพระราม 3 พบรถยนต์ต้องสงสัยจึงเรียกตรวจแล้วพบเสื้อเกราะกันกระสุน และหมวกนิรภัยปราบจลาจลอยู่ในที่เก็บของและกระโปรงหลัง

ซึ่งยุทธภัณฑ์ดังกล่าวสูญหายไปเมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2553 ขณะที่ทหารเข้าสลายการชุมนุมที่ถนนราชดำเนิน ซึ่งพบว่า ส.อ.ชนะยุทธ คมสาคร สังกัดกองทัพภาคที่ 1 ถูกคนร้ายไม่ต่ำกว่า 3 คน ใช้คันธงประทุษร้ายแย่งชิงหมวกปราบจลาจลไป ซึ่งมีความผิดเข้าลักษณะการปล้นทรัพย์

ขณะที่ จ.ส.ต.ประสิทธิ์ให้การต่อสู้ว่า ไม่ได้มีเจตนาครอบครอง โดยระบุว่า เมื่อค่ำวันที่ 22 เม.ย. 2553 ขึ้นเวทีปราศรัยที่เวทีศาลาแดง สีลม มีผู้ติดต่อว่ามีคนทำเสื้อเกราะและหมวกนิรภัยดังกล่าวหล่นไว้ จึงประกาศบนรถปราศรัย เมื่อลงจากเวทีมีคนมาบอกว่าพบกำลังทหารเคลื่อนเข้ามาที่แยกราชประสงค์ จึงขึ้นรถขับไปตรวจสอบ โดยไม่ทราบ ว่ามีเสื้อกันกระสุนและหมวกดังกล่าวอยู่ท้ายรถ

เมื่อถูกเรียกตรวจแล้วเจ้าหน้าที่พบยุทธภัณฑ์ดังกล่าวก็ยึดเอาไป โดยตนให้การว่าไม่ทราบว่ามาอยู่ได้อย่างไร จนกระทั่งพบกับการ์ดเสื้อแดง 2 คนที่เป็นผู้ให้แจ้งข่าวบนเวที ก็ยอมรับว่าเป็นคนนำมาเก็บไว้เอง

ตรวจสอบแล้วพบว่าจำเลยไม่เคยได้รับอนุญาตจากกระทรวงกลาโหมให้มีเสื้อเกราะกันกระสุนหรือป้องกันสะเก็ดระเบิดไว้ในครอบครอง อีกทั้งหมวกนิรภัยดังกล่าวเป็นของกองทัพภาค 1 ที่สูญหายไป ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 2 ปีในความผิดครอบครองยุทธภัณฑ์ 1 ปี และรับของโจร 1 ปี

ศาลอุทธรณ์พิจารณาเห็นว่า คำให้การของจำเลยที่เพิ่มขึ้นมาไม่น่าเชื่อถือ อีกทั้งพยานที่ระบุว่านำยุทธภัณฑ์ใส่ท้ายรถโดยที่เจ้าของไม่ทราบ เพราะกระโปรงหลังแง้มอยู่ ก็ไม่น่าเป็นไปได้ เนื่องจากผิดวิสัยที่คนทั่วไปย่อมปิดล็อกฝากระโปรงรถไว้เสมอ โดยเฉพาะในสถานการณ์ชุมนุมที่ฝ่ายตรงข้ามอาจนำสิ่งอันตรายหรือผิดกฎหมายมาใส่ไว้เพื่อใส่ร้ายให้ได้รับความเดือดร้อน

ส่วนที่อุทธรณ์ให้รอการลงโทษจำคุก ศาลอุทธรณ์เห็นว่าแม้มูลเหตุการกระทำผิดเกิดจากการชุมนุมทางการเมือง แต่พฤติการณ์ที่ปิดล้อมกองทัพภาค 1 เป็นการกระทำไม่ชอบด้วยกฎหมายมีพนักงานเจ้าหน้าที่ทหารถึงแก่ความตายและได้รับบาดเจ็บ ไม่ใช่แค่กลุ่มผู้ชุมนุมอย่างเดียว

จึงไม่ใช่การชุมนุมโดยสงบสันติ และไม่ถือเป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ จึงไม่สมควรที่จะรอการลงโทษแก่จำเลย พิพากษายืน

คุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา

แฟ้มคดี

แม่เกดยื่นหนังสือจี้คดี

 

ข้องใจคดีเลือดปี53 ไม่คืบ

อย่างไรก็ตาม แม้คดีในส่วนอื่นๆ จะคืบหน้าไปตามลำดับ แต่คดีหลักของเหตุการณ์ชุมนุมเมื่อปี 2553 นั่นก็คือการเสียชีวิตของประชาชน 99 ศพกลับไม่คืบหน้าเท่าที่ควร

ยิ่งไปกว่านั้นคดีที่ศาลไต่สวนการตายอย่างน้อย 17 คดี ที่ระบุว่าเกิดจากกระสุนเจ้าหน้าที่ ก็ยังไปไม่ถึงมืออัยการ

หนำซ้ำสำนวนไต่สวนผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ที่หน้ากระทรวงศึกษาธิการ ประมาณ 20 กว่าศพ กรมสอบสวน คดีพิเศษหรือดีเอสไอ มีความเห็นว่าไม่สามารถ ระบุหรือหาตัวคนทำความผิดได้ จึงเสนอให้อัยการสั่งยุติการสอบสวน

กลายเป็นสำนวนมุมดำ!??

ขณะที่สำนวนคดี 6 ศพวัดปทุมวนาราม ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ชัดแจ้งที่สุด มีคลิปวิดีโอ ภาพนิ่ง เห็นภาพคนยิงที่อยู่บนรางรถไฟฟ้า หน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

แม้จะมีความพยายามยุติไม่ส่งให้อัยการสั่งฟ้อง แต่ก็ไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะเป็นคดีที่ศาลอาญาได้ไต่สวนการตาย และระบุว่าเกิดจากกระสุนจากเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานอยู่บนรางรถไฟฟ้า

ซึ่งเรื่องดังกล่าวเคยส่งถึงอัยการ แต่เป็นหลักฐานสำนวนสำหรับยื่นท้ายฟ้องนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ในขณะนั้น ซึ่งอัยการก็ส่งเป็นหลักฐานไป เมื่อศาลพิพากษายกฟ้องโดยให้เหตุผลเรื่องขอบเขตอำนาจ สำนวนดังกล่าวก็ถูกส่งกลับมา และตีคืนไปให้ดีเอสไอ เพื่อพิจารณาสอบสวนเพิ่มเติม

บัดนี้คืบหน้าอย่างไรยังเป็นปริศนา!??

ขณะที่ดีเอสไอเคยชี้แจงเมื่อปี 2561 ว่ารับคดีเกี่ยวกับการชุมนุมทางการเมืองปี 52-53 รวม 371 คดี แบ่งเป็น 4 กลุ่มคดี ดังนี้ กลุ่มที่ 1 คดีเกี่ยวกับการก่อการร้าย 155 คดี สอบสวนเสร็จหมดแล้ว

กลุ่มที่ 2 คดีเกี่ยวกับการขู่บังคับให้รัฐบาลกระทำการใดๆ 25 คดี สอบสวนเสร็จสิ้นทั้งหมดแล้ว กลุ่มที่ 3 คดีเกี่ยวกับการทำร้ายประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐ 169 คดี สอบสวนเสร็จ 154 คดี อยู่ระหว่างการสอบสวน 15 คดี และกลุ่มที่ 4 คดีเกี่ยวกับการกระทำต่ออาวุธยุทธภัณฑ์ของทางราชการ 21 คดี สอบสวนเสร็จสิ้นทั้งหมดแล้ว

ส่วนจะสั่งฟ้องได้เมื่อไหร่คงต้องติดตาม

แฟ้มคดี

จนท.บนรางรถไฟฟ้าหน้าวัดปทุมฯ

 

เปิดสำนวนไต่สวนการตาย 17 ศพ

สำหรับ 17 สำนวนที่ศาลไต่สวนการตายไปแล้ว 17 สำนวน ประกอบด้วย 1.นายพัน คำกอง ถูกยิงเสียชีวิตวันที่ 15 พ.ค. 2553 หน้าคอนโดฯ ไอดีโอ ใกล้แอร์พอร์ตลิงก์ 2.นายชาญณรงค์ พลศรีลา ถูกยิงเสียชีวิต วันที่ 15 พ.ค. 2553 หน้าปั๊มเชลล์ ถ.ราชปรารภ 3.นายชาติชาย ชาเหลา ถูกยิงเสียชีวิตวันที่ 13 พ.ค. 2553 หน้าอาคารอื้อจือเหลียง ถ.พระราม 4

4.ด.ช.คุณากร หรือ อีซา ศรีสุวรรณ อายุ 14 ปี ถูกยิงเสียชีวิตบริเวณสถานีแอร์พอร์ตลิงก์ ซ.หมอเหล็ง หน้าโรงภาพยนตร์โอเอ ถ.ราชปรารภ วันที่ 15 พ.ค. 2553 5.พลทหารณรงค์ฤทธิ์ สาละ ถูกยิงเสียชีวิตวันที่ 28 เม.ย. 2553 หน้าอนุสรณ์สถาน ถ.วิภาวดีรังสิต ศาลมีคำสั่งว่า เสียชีวิตจากกระสุนปืนความเร็วสูงจากเจ้าหน้าที่ทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ 6.นายฟาบิโอ โปเลงกี ช่างภาพอิตาลี ถูกยิงเสียชีวิตวันที่ 19 พ.ค. 2553 ถ.ราชดำริ ศาลมีคำสั่งว่าถูกยิงด้วยกระสุนปืนทะลุหัวใจ ปอด ตับ เสียโลหิตปริมาณมาก โดยมีวิถีกระสุนปืนยิงมาจากด้านเจ้าพนักงานที่กำลังเคลื่อนเข้ามาควบคุมพื้นที่จากทางแยกศาลาแดงมุ่งหน้าไปแยกราชดำริ โดยยังไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ลงมือกระทำ

7.นายรพ สุขสถิต 8.นายมงคล เข็มทอง 9.นายสุวัน ศรีรักษา 10.นายอัฐชัย ชุมจันทร์ 11.นายอัครเดช ขันแก้ว และ 12.น.ส.กมนเกด อัคฮาด ถูกยิงเสียชีวิตหน้าวัดปทุมวนาราม ถ.พระราม 1 วันที่ 19 พ.ค. 2553 ศาลมีคำสั่งว่า ถูกยิงด้วยกระสุนปืนที่มีวิถีกระสุนมาจากเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยอยู่บนรางรถไฟฟ้าบีทีเอส หน้าวัดปทุมวนารามราชวรวิหารและบริเวณถนนพระรามที่ 1 โดยยังไม่ทราบแน่ชัดว่าใครเป็นผู้ลงมือกระทำ

13.นายจรูญ ฉายแม้น และ 14.นายสยาม วัฒนนุกูล ถูกยิงเสียชีวิตวันที่ 10 เม.ย. 2553 หน้าโรงเรียนสตรีวิทยา ถ.ดินสอ ศาลมีคำสั่งว่า ถูกยิงด้วยกระสุนปืนที่มีวิถีกระสุนมาจากฝ่ายเจ้าพนักงาน

15.นายถวิล คำมูล ถูกยิงเสียชีวิตวันที่ 19 พ.ค. 2553 บริเวณป้ายรถแท็กซี่ข้างรั้วสวนลุมพินี ถ.ราชดำริ ศาลมีคำสั่งว่า ถูกวิถีกระสุนปืนยิงมาจากด้านเจ้าหน้าที่ทหาร

16.นายนรินทร์ ศรีชมภู ถูกยิงเสียชีวิต วันที่ 19 พ.ค. 2553 บริเวณทางเท้าหน้าคอนโด บ้านราชดำริ ถ.ราชดำริ ใกล้แยกสารสิน ศาลมีคำสั่งว่า วิถีกระสุนปืนมาจากทางด้านเจ้าหน้าที่ทหาร

17.นายเกรียงไกร คำน้อย ถูกยิงเสียชีวิตเป็นศพแรกในเหตุการณ์สลายการชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ ข้างกำแพงกระทรวงศึกษาธิการ เมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2553 ศาลมีคำสั่งว่า ถูกยิงด้วยกระสุนปืนความเร็วสูง ซึ่งมีวิถีกระสุนมาจากเจ้าหน้าที่ทหารในการปฏิบัติหน้าที่ขอคืนพื้นที่

เป็นคดีเลือดที่ยังรอความยุติธรรม

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน