คอลัมน์ สดจากสนามข่าว

สันติ ประหร่ำภากรณ์

เรื่อง/ภาพ

เมื่อมีบุคคลใดกระทำความผิดอาญาบ้านเมือง หลังเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม จนศาลพิพากษาแล้ว ต้องถูกส่งตัวไปจำขังใน เรือนจำให้ชดใช้กรรมที่ก่อไว้

แต่จุดหมายที่แท้จริงคือมุ่งหวังให้สำนึกผิด เพื่อกลับตัวเป็นคนดีและใช้ชีวิตในสังคมหลังพ้นโทษอย่างสุจริตชน

แต่กับคนจำพวกหนึ่ง หลังกำแพงคุกที่สูงตะหง่าน ก็ไม่อาจช่วยกล่อมเกลาได้ เพราะนอกจากไม่มีจิตสำนึกต่อความผิดที่กระทำลงไปแล้ว กลับใช้เวลาที่ไร้อิสรภาพร่ำเรียนวิชาโจรจากขาใหญ่ในเรือนจำเพิ่มเติม รวมถึงคบหาคนที่มีแนวคิดเดียวกัน ก่อนจะจับมือกันเดินเข้าสู่เส้นทางสายมิจฉาชีพอีกครั้งหลังพ้นโทษ

ล่าสุดเกิดเหตุตีนแมวตระเวนยกเค้าบ้านเรือนประชาชนในพื้นที่ จ.นนทบุรี หลายหลัง ได้ทรัพย์สินไปจำนวนมาก

โดยเฉพาะเมื่อคืนวันที่ 22-23 พ.ค. ที่ผ่านมา คนร้ายก่อเหตุยกเค้าในพื้นที่ สภ.บางศรีเมือง ในหมู่บ้านมณียา ซอย 2 และซอย 4 ในเขต ต.บางรักน้อย รวมถึงหมู่บ้านเพชรลดา

โดยเฉพาะที่หมู่บ้านเพชรลดา บ้านของนายวรวัฒน์ พัฒนชาคร อายุ 61 ปี อดีต ผู้อำนวยการฝ่ายโรงงานยาสูบ 5 ถูกยกตู้เซฟขนาดใหญ่ ภายในมีเงินสด ทองรูปพรรณหนัก 20 บาท พระเครื่องรุ่นเก่านับสิบองค์ นาฬิกาหรูอีกหลายเรือน มูลค่าทรัพย์สินกว่า 2 ล้านบาท

หลังเกิดเหตุขึ้นถี่ยิบทำให้ตำรวจหลายหน่วยงานต้องระดมกำลังออกสืบสวนสอบสวนตามล่าแก๊งคนร้าย

พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รอง ผบ.ตร. ยังต้องลงมาดูแลคดีเอง โดยพล.ต.ท.ชาญเทพ เสสะเวช ผบช.ภาค 1 ส่งตำรวจสายสืบมือดีของบช.ภาค 1 ไปทำงานร่วมกับทีมสืบสวน ที่พล.ต.ต.สุศักดิ์ ปรักกมะกุล ผบก.ภ.จว.นนทบุรี แต่งตั้งขึ้นมา มีพ.ต.อ.ศิริวัฒน์ โมรานนท์ ผกก.สส.ภ.จว.นนทบุรี นำทีม และเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนสภ.บางศรีเมือง ที่มีพ.ต.ท.สมชาย ขำสัจจา รอง ผกก.สส.สภ.บางศรีเมือง เป็นหัวหน้าชุด

เพียงไม่กี่วันก็ทราบข้อมูล หลังตร.ไล่ตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิด ทั้งจากที่เกิดเหตุต่างๆ และตามเส้นทางที่คาดว่าคนร้ายใช้เดินทางเข้ามาก่อเหตุและหลบหนี จนพบรถยนต์ต้องสงสัย เมื่อนำข้อมูลไปตรวจสอบจึงพบว่าเป็นรถที่ถูกเช่ามา

จึงรวบรวมหลักฐานขยายผลจนทราบว่า ผู้ก่อเหตุเป็นแก๊งคนร้ายที่มีสมาชิกเป็นชาวไทยและชาวโคลัมเบีย ใช้วิธีเช่ารถจากบริษัท รถเช่าตระเวนดูลาดเลาตามหมู่บ้านขนาดใหญ่ และก่อเหตุยกเค้าบ้านที่เจ้าของไม่อยู่

หลังลงมือสำเร็จจะเปลี่ยนรถเช่าคันใหม่ไปก่อเหตุต่อ เพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกต โดยเลือกลงมือในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ช่วงวันที่ 30 พ.ค.-15 มิ.ย. รวมกว่า 10 ครั้ง ได้ทรัพย์สินไปกว่า 215 รายการ

เจ้าหน้าที่จึงรวบรวบหลักฐานขอออนุมัติหมายจับศาลจังหวัดนนทบุรี ก่อนตามจับกุมตัวได้ยกแก๊ง ประกอบด้วย นายอัครเดช หรือหรั่ง มานุจำ อายุ 40 ปี ลูกครึ่งไทย-สวิส ชาว อ.บางละมุง จ.ชลบุรี

ส่วนที่เหลือเป็นคนต่างด้าวชาวโคลัมเบีย คือ นายเอสโกบาร์ อาลอนโซ จอห์น ไจโร อายุ 48 ปี, นายเนสเตอร์ ฟาบริซิโอ คูเออร์โว่ เมซา อายุ 46 ปี, นายโคเวอร์ คาร์ดีเนส โจเจนพู อายุ 35 ปี, นายคูเออโว คาดีนัส ไอเชียอัส อายุ 28 ปี และ นายฟาบิโอเอนเดรส อายุ 35 ปี

สอบสวนทั้งหมดให้การรับสารภาพว่า ก่อนหน้านี้นายอัครเดชถูกจับกุมคดีลักทรัพย์ในท้องที่สน.โชคชัย จึงรู้จักกับนายเอสโกบาร์ที่ต้องโทษคดีในท้องที่สภ.บางแก้ว อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ขณะชดใช้โทษในเรือนจำจนสนิทกัน

หลังพ้นโทษนายเอสโกบาร์ถูกผลักดันออกนอกประเทศ แต่กลับไปชักชวนเพื่อนร่วมแก๊งชาติเดียวกัน ลักลอบหนีเข้าเมืองมาอีกครั้ง จากนั้นร่วมมือกับนายอัครเดชเช่ารถเก๋งจากบริษัทรถเช่านำไปติด แผ่นป้ายทะเบียนปลอม ตระเวนดูลาดเลาตามหมู่บ้านจัดสรรหรูๆ ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล

เมื่อสบโอกาสพบบ้านที่เจ้าของไม่อยู่ จะงัดแงะเข้าไปยกเค้าทรัพย์สินนำไปขายแบ่งเงินกันใช้จ่าย โดยจะเปลี่ยรถเช่าใหม่ทุกครั้งที่ก่อเหตุ กระทั่งถูกตำรวจตามจับยกแก๊งได้ในที่สุด

ต้องกลับเข้าไปใช้ชีวิตอยู่หลังกำแพงคุกอีกครั้ง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะขัดเกลาสันดานโจรให้กลายเป็นคนดีได้หรือไม่

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน