คอลัมน์ สดจากสนามข่าว

ชาญพงศ์ บุญอุทิศ

เกรียงไกร ปัญโญกาศ

เรื่อง/ภาพ

“ตอนนั้นหนูอายุแค่ 15 ปี คืนนั้นมีคนมาที่บ้าน เมื่อพ่อกับแม่เปิดออกไปก็พบว่าเป็นพี่เขยมากับผู้หญิงอีกคน ก่อนที่พี่เขยและผู้หญิงคนดังกล่าวจะใช้มีดจ้วงแทงพ่อแม่ จนเสียชีวิตจมกองเลือด ถึงแม้หนูจะรอดมาได้ แต่ก็ต้องอยู่ในสภาพหวาดระแวงตลอดเวลา เพราะยังถูกพี่เขยโทรศัพท์มาข่มขู่โดยตลอด ต้องกินยาระงับประสาท ตลอด 12 ปีที่ผ่านมา ครั้งนี้เลยรู้สึกสบายใจขึ้น ที่สามารถจับกุมคนร้ายได้”

คำพูดของ น.ส.รัชนก บุญทาทอง หลังตร.สามารถปิดคดีฆาตกรรมสยองขวัญที่เกิดขึ้นตั้งแต่ ม.ค.ปี”48 ลงได้

เรื่องราวถูกเปิดเผยขึ้นเมื่อวันที่ 22 มิ.ย. เมื่อนายสงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ประธานเครือข่ายต่อต้านการบ่อนทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ นำ น.ส.รัชนก บุญทาทอง และ น.ส.รัชฎาพร บุญทาทอง เข้าพบ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผบ.ตร. เพื่อขอความเป็นธรรม กรณีนายจำลอง บุญทองทา และนางบัว บุญทองทา ถูก นายกฤษณะชัย จันทราศรี อายุ 51 ปี อดีตสามีของ น.ส.รัชฎาพร ร่วมกับ น.ส.ยุพิน ปานลอยวงค์ อายุ 28 ปี ชาว ต.ทุ่งกระบ่ำ อ.เลาขวัญ จ.กาญจนบุรี ลูกจ้างสาวในร้านขายยา ใช้มีดแทงจนเสียชีวิต

หลังเหตุการณ์ผ่านมา 12 ปี แต่ก็ยังไม่สามารถจับกุมตัวคนร้ายได้ หนำซ้ำนายกฤษณะชัย ยังโทร.มาข่มขู่ 2 พี่น้องให้หวาดกลัว อยู่เป็นระยะๆ

น.ส.รัชฎาพรเล่าเรื่องราวว่า ตนเป็นเภสัชกรอยู่ในโรงพยาบาลประจำจังหวัดเชียงรายอยู่กินกับนายกฤษณะชัย สามีได้ 2 ปี แรกๆ ก็ดีทุกอย่าง จากนั้นสามีเริ่มเปลี่ยนไปกลายเป็นคนโมโหร้าย และพยายามจะขอมีเพศสัมพันธ์ตลอด เมื่อไม่ได้ดั่งใจก็ลงมือทุบตีตนจนทนไม่ไหวจึงขอเลิก แต่กลับถูกข่มขู่ว่าถ้าเลิกจะถูกฆ่าทิ้งให้หมดทั้งครอบครัว ตนจึงหนีออกมาอยู่กับญาติที่ กทม.

กระทั่งพ่อ-แม่ถูกฆ่าเสียชีวิต ซึ่งในงานศพอดีตสามีก็ยังโทรศัพท์มาข่มขู่ ว่าตำรวจไม่มีทางจับได้ ซึ่งเรื่องราวผ่านมากว่า 12 ปี แต่ทางคดีไม่เคยคืบหน้า โดยพี่เขยของอดีตสามีเป็นตำรวจใหญ่ในจังหวัดเชียงรายขณะนั้นด้วย ประกอบกับน้องชายอดีตสามีก็เป็นครูในโรงเรียนที่น้องสาวเรียนอยู่ ทำให้ตนรู้สึกไม่ปลอดภัยตลอดเวลา

ด้าน น.ส.รัชนกกล่าวว่า เหตุเกิดเมื่อเวลาประมาณ 01.40 น. วันที่ 26 ม.ค. 2548 ขณะนั้นตนอายุ 15 ปี โดยคืนนั้นมีคนมาที่บ้าน เมื่อพ่อกับแม่เปิดออกไปพบเป็นพี่เขย ก่อนที่ตนจะเห็นว่าพี่เขยและผู้หญิงอีกคนกำลังใช้มีดจ้วงแทงพ่อและแม่อยู่ ซึ่งหลังเกิดเหตุพบว่าพ่อกับแม่นอนจมกองเลือด ถึงแม้ตนจะรอดมาได้ แต่ก็ต้องอยู่ในสภาพหวาดระแวงตลอดเวลา ต้องกินยาระงับประสาท ตลอด 12 ปีกว่าที่ผ่านมา

หลังรับฟังเรื่องราว พล.ต.อ.ศรีวราห์ สั่งให้ บช.ภ.5 บก.ภ.จว.เชียงราย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งสืบสวนติดตามจับกุมตัวอย่างเร่งด่วน

เพียงแค่วันเดียวก็ทราบว่านายกฤษณะชัย ผู้ต้องหา หลบหนีเข้ามาในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จึงประสาน พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร ผบช.น. จนสามารถจับกุมนายกฤษณะชัย ได้ในท้องที่ สน.ดอนเมือง ก่อนจะติดตามไปจับตัวน.ส.ยุพิน ได้ในพื้นที่ จ.ชลบุรี

ตำรวจควบคุมตัวนายกฤษณะชัยมาสอบปากคำ ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยเจ้าตัวให้การรับสารภาพ อ้างว่าวันเกิดเหตุไม่ได้ตั้งใจจะลงมือฆ่าผู้เสียชีวิต แต่ด้วยปัญหาที่สะสมมากับอดีตภรรยา จึงชักชวนน.ส.ยุพิน ซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ไปยังบ้านที่เกิดเหตุ ก่อนเกิดปากเสียงและใช้อาวุธมีดที่นำติดตัวไปลงมือทำโดยไม่รู้ตัวและหลบหนีไปอยู่หลายพื้นที่

กระทั่งปี 2554 ได้ย้ายมาอยู่ในพื้นที่ สน.ดอนเมือง ประกอบอาชีพรับเหมาก่อสร้าง ขายอาหารตามสั่ง และเปิดร้านขายของชำใช้ชีวิตกับภรรยาใหม่ พร้อมระบุว่าหลังก่อเหตุ 2 ปี ก็สำนึกผิดมาโดยตลอด และคิดว่าครอบครัวผู้เสียหายจะให้อภัยแล้ว

“พอมีข่าวออกมาว่า ครอบครัวผู้เสียชีวิตอยู่อย่างทุกข์ทรมานมาตลอด 12-13 ปี ผมรู้สึกสงสาร และอยากให้ครอบครัวผู้เสียหายอภัยและอโหสิกรรมให้ผม ซึ่งการอโหสิกรรมก็ไม่ได้หวังว่าจะพ้นผิด แต่การให้อภัยคือสิ่งที่จะทำให้พ้นทุกข์และเขาจะมีชีวิตที่มีความสุขตลอดไป” นายกฤษณะชัยให้การ

ด้าน พ.ต.อ.วิรัช สุมนาพันธ์ รอง ผบก.ภ.จว.เชียงราย กล่าวว่า ตลอด 12-13 ปีที่ผ่านมา ตำรวจพยายามติดตามจับกุมตัวผู้ต้องหามาโดยตลอด แต่ที่ไม่สามารถจับกุมตัวได้ เนื่องจากผู้ต้องหาไม่มีการเคลื่อนไหวทางทะเบียนราษฎรตั้งแต่ปี 2547 และย้ายถิ่นฐานหลบหนี รวมถึงการตรวจสอบทางโทรศัพท์มือถือก็ไม่สามารถทำได้เนื่องจากใช้โทรศัพท์สาธารณะในการข่มขู่พยาน

คดีนี้ตำรวจส่งสำนวนให้พนักงานอัยการไปตั้งแต่ปี 2548 แล้ว และหลังจับกุมตัวได้ผู้ต้องหาทั้ง 2 คน จึงเตรียมคุมตัวกลับไปดำเนินคดีที่จังหวัดเชียงราย รวมถึงชี้จุดทำแผนประกอบคำรับสารภาพ และคุมตัวไปฝากขังต่อศาลจังหวัดเชียงราย พร้อมคัดค้านการประกันตัว

ขณะเดียวกันชาวจ.เชียงรายที่รู้ข่าว ต่างเดินทางมาที่บ้านที่เกิดเหตุ เพื่อรอดูหน้า 2 คนร้าย พร้อมตะโกนสาปแช่ง เรียกร้องให้ลงโทษถึงประหารชีวิต

เหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้วงการเภสัชกรถึงช็อก ต่างไถ่ถามกัน ให้แซด แต่ไม่มีใครรู้จักนายกฤษณะชัย ตรวจสอบประวัติจากสารบบของสภาเภสัชกร ก็ไม่พบชื่อ จนมีกระแสเรียกร้องให้สอบสวนว่าเป็นจริงหรือแค่แอบอ้างกันแน่ สุดท้ายสภาเภสัชกรตรวจสอบแล้วยืนยันว่าไม่ได้เป็นเภสัชกรแต่อย่างใด

มีแนวโน้มจะงานเข้ารอบสอง

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน