เปิดปมแค้นมรดกเลือด

ต้นเหตุยิงกราดในศาล

ลุยจับ‘น้องกิตติวุฑโฒ’

ฮุบธรณีสงฆ์3.8พันไร่

แฟ้มคดี

แฟ้มคดี – เป็นเหตุต่อเนื่องจากคดีเลือดเมื่อปี 2562
จากเหตุการณ์ที่พล.ต.ต.ธารินทร์ จันทราทิพย์ พกปืนกราดยิง ในศาลจันทบุรี จนมีผู้เสียชีวิตรวม 3 ศพ
ซึ่งมีชนวนเหตุเกิดขึ้นจากข้อพิพาทเรื่องที่ดินมรดก 3,800 ไร่ที่ จ.จันทบุรี ที่ก่อนหน้านี้ครอบครัวอดีตภรรยาขายให้กับพระกิตติวุฑโฒ

แต่กลับไม่มีการชำระเงินครบตามสัญญา ซ้ำหลังจากที่พระกิตติวุฑโฒมรณภาพ น้องชายของพระกิตติวุฑโฒยังไปสร้างเรื่องให้มูลนิธิอภิธรรมมหาธาตุวิทยาลัย ที่ดูแลที่ดินโอนให้เป็นชื่อของ ตัวเอง
แถมยังดำเนินคดีต่อสู้ในชั้นศาลอย่างพัลวัน

จนฝ่ายของพล.ต.ต.ธารินทร์เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ แถมยังต้องถูกดำเนินคดีฐานให้หลักฐานเท็จ
เป็นที่มาของความแค้นดังกล่าว

คุมตัวฝากขัง

อย่างไรก็ตามครั้งนี้เป็นเรื่องความจริงอีกฝั่ง เมื่อกองปราบฯ บุกจับน้องพระกิตติวุฑโฒ พร้อมลูกชาย
ตั้งข้อหาหนักฮุบที่ธรณีสงฆ์ 3,800 ไร่
ส่วนถึงบทสรุป ใครจะถูกจะผิด ก็เป็นเรื่องที่ต้องต่อสู้กันต่อไปในชั้นกระบวนการยุติธรรม
ซึ่งคงไม่นานเกินที่จะรอ

ตร.บุกจับน้องกิตติวุฑโฒ
เช้ามืดวันที่ 8 มิ.ย. พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช ผบก.ป. สั่งการให้ชุดปฏิบัติการพิเศษหนุมาน 20 นาย และเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการ กก.2 บก.ป. บุกเข้าตรวจค้นบ้านเลขที่ 32/21 ม.10 ต.คลองพลู อ.เขาคิชฌกูฏ จ.จันทบุรี จับกุมนายบุญช่วย เจริญสถาพร อายุ 80 ปี น้องชาย พระกิตติวุฑโฒ และนายกิตติพงษ์ เจริญสถาพร อายุ 43 ปี ลูกชาย

โดยทันทีที่เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมไปถึง พบบ้านหลังดังกล่าวมีลักษณะคล้ายกับอาคารสำนักงาน ตั้งอยู่ภายในไร่ จึงจำเป็นต้องวางกำลังเข้าปิดล้อมเพื่อความรัดกุมและปิดเส้นทางหลบหนี

จับน้องกิตติวุฑโฒ

จากนั้นได้บุกเข้าไปในตัวอาคารทันที พบผู้ต้องหาทั้ง 2 คน ยังคงนอนหลับพักผ่อนอยู่ในบ้าน เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการหนุมานและชุดปฏิบัติการ กก.2 บก.ป. จึงแสดงตัวขอจับกุมได้โดยละม่อม พร้อมกับเข้าตรวจยึดเอกสารหลักฐานบางอย่างจากภายในบ้านพักจำนวนหลายรายการไว้เป็นหลักฐาน
พร้อมแจ้งข้อหาเบิกความเท็จต่อศาล ให้การเท็จต่อเจ้าพนักงานและเจ้าหน้าที่ และร่วมกันยักยอกทรัพย์ ก่อนควบคุมตัวเข้าสอบสวนที่กองปราบปราม กทม.ทันที

 

ทั้งนี้ การเข้าจับกุมสืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 4 ก.พ.2561 มูลนิธิอภิธรรมมหาธาตุวิทยาลัยแจ้งความกองปราบปราม เพื่อขอให้ดำเนินคดีกับนายบุญช่วย ซึ่งเป็นน้องชายของพระกิตติวุฑโฒภิกขุ อดีตประธานมูลนิธิอภิธรรมมหาธาตุ ในความผิดฐานยักยอกที่ดินในพื้นที่ ต.พลวง และ ต.ตะเคียนทอง อ.เขาคิชฌกูฏ และบางส่วนใน อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี เนื้อที่ 3,800 ไร่ โดยใช้วิธีสวมสิทธิการครอบครองและนำไปออกโฉนดโดยมิชอบ

เมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบข้อเท็จจริงว่า เดิมทีที่ดินผืนนี้เป็น ที่ดินส.ป.ก. มีนายสมพล โกศลานันท์ เป็นผู้ครอบครอง

จนมาเมื่อปี 2513-2515 พระกิตติวุฑโฒก่อตั้งมูลนิธิอธิธรรมมหาธาตุวิทยาลัย พร้อมกับเปิดรับบริจาค รวบรวมเงินของชาวบ้านมาเป็นทุนซื้อที่ดินผืนดังกล่าวจากนายสมพล เพื่อนำมาใช้ปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ ของพระสงฆ์ ราคา 12 ล้านบาท แต่จ่ายเงินไปเพียง 8 ล้านบาท อีก 4 ล้านบาทยังไม่ได้ชำระ แต่นายสมพลเห็นว่าจะนำที่ดินไปใช้ประโยชน์ทางศาสนา จึงมอบที่ดินให้ไปใช้ประโยชน์ก่อน
หลังจากได้ที่ดินแล้ว พระกิตติวุฑโฒมอบหมายให้นายบุญช่วยเป็นผู้ดูแล กระทั่งพระกิตติวุฑโฒ มรณภาพในปี 2548 นายบุญช่วย และบุตรชาย ก็เริ่มเข้าครอบครองและวางแผนนำที่ดินผืนดังกล่าวมาเป็นของตนเอง

ลูกชายโดนด้วย

ต่อมาปี 2550 นายบุญช่วยยื่นฟ้อง นายเรวัฒิ โกศลานันท์ ลูกชายของนายสมพล ในฐานะเป็นผู้รับมรดก เพื่อให้โอนที่ดิน ดังกล่าวมาเป็นของตัวเอง โดยมีนายบัญชา ปรมีศณาภรณ์ ทนายความชื่อดัง เป็นทีมทนายความ ซึ่งศาลจังหวัดจันทบุรีมีคำพิพากษาให้ทายาทของนายสมพลโอนที่ดินดังกล่าวไปเป็นชื่อของ นายบุญช่วย ตามที่ร้องขอ
เปลี่ยนแปลงผู้ถือครองอย่างมีปมตามมา

ฮุบธรณีสงฆ์ 3.8 พันไร่
จากนั้นปี 2554-2555 นายบุญช่วยไปยื่นขอเปลี่ยนที่ดินส.ป.ก. เป็นโฉนดที่ดินเพื่อทำให้มีมูลค่าสูงขึ้น ทางน.ส.เขมจิรา บัณฑูรนิพิท และพล.ต.ต.ธารินทร์ จันทราทิพย์ อดีตรองจเรตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเป็นทายาทรุ่นหลานของนายสมพล จึงเริ่มพบเห็นความผิดปกติ และเกิดความไม่พอใจ เพราะเห็นว่าที่ดินดังกล่าวไม่ได้ถูกนำไปใช้ประโยชน์ทางพุทธศาสนาตามวัตถุประสงค์เดิม จึงฟ้องร้องเป็นคดีขึ้นหลายคดี

เป็นจุดเริ่มต้นของข้อพิพาท
อย่างไรก็ตามหลังจากที่เป็นเรื่องขึ้นโรงขึ้นศาล ปรากฏว่าทายาทตระกูลโกศลานันท์ เจ้าของที่ดิน กลับพ่ายแพ้คดีมาตลอด เป็นเหตุให้พล.ต.ต.ธารินทร์เจ็บแค้น และต่อมาวันที่ 12 พ.ย. 2562

พล.ต.ต.ธารินทร์ พกปืนกล็อก 22 ขนาด .40 เข้าไปในห้องพิพากษา บัลลังก์ที่ 2
ก่อนใช้ปืนพกสั้นออโตเมติกจ่อยิงนายบัญชา ปรมีศณาภรณ์ ทนายความชื่อดัง นางสุภาพร ปรมีศณาภรณ์ ภรรยานายบัญชา นายวิจัย สุขรมย์ และนายวิชัย อุดมธนภัทร ทนายความฝั่งโจทก์ ทั้งหมดอาการสาหัสก่อนที่จะวางปืนและนั่งรอมอบตัวอยู่ที่เก้าอี้ภายในห้องพิจารณาคดี

พล.ต.ต.ธารินทร์

จากนั้นนายธนากร วีรวโรดม เสมียนทนายโจทก์ ที่วิ่งหลบหนีออกไปจากห้อง แล้วพบร.ต.อ.ขจร บรรจง เจ้าหน้าที่ตำรวจประจำศาลจังหวัดจันทบุรี แล้วเกิดเจ็บป่วยกะทันหัน จึงเอาปืนของร.ต.อ.ขจรยิงใส่พล.ต.ต.ธารินทร์ 6 นัด นอนฟุบอยู่บนม้านั่ง ก่อนที่จะหลบหนีไป
เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองจันทบุรีรับแจ้งเหตุ เมื่อมาถึงพบ ผู้บาดเจ็บนอนจมกองเลือดรวม 5 ราย จึงเร่งนำทั้งหมดส่งรักษาตัวที่โรงพยาบาลพระปกเกล้า และโรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี ต่อมานายบัญชา นายวิจัย และพล.ต.ต.ธารินทร์ ทนพิษบาดแผล ไม่ไหวเสียชีวิต

ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามจับกุมนายธนากรได้ที่โรงแรม แห่งหนึ่ง คุมตัวแจ้งข้อหาฆ่าคนตายโดยเจตนา และได้รับการประกันตัวในชั้นพนักงานสอบสวน

ภายหลังเกิดเหตุทำให้คดีดังกล่าวกลายเป็นที่สนใจจากสังคมที่เริ่มมีข้อกังขาต่อที่ดินแปลงดังกล่าว
เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย กองปราบฯ จึงรับโอนสำนวนคดีทั้งหมดมาอยู่ในความดูแล พร้อมกับสืบสวนข้อเท็จจริง
จนกระทั่งนำไปสู่การจับกุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 จนได้ในที่สุด

เมียพล.ต.ต.เตรียมอุทธรณ์คดี
ขณะที่สอบปากคำผู้ต้องหาทั้ง 2 ยังให้การปฏิเสธตลอด
ข้อกล่าวหา

ทั้งนี้ ในการตรวจค้นที่บ้านพักขณะจับกุมไม่พบเอกสารหลักฐานใดเกี่ยวกับการครอบครองที่ดิน แต่ในทางคดีนั้นทราบอยู่แล้วว่าผู้ต้องหาไม่มีเอกสารซื้อขาย เป็นการสร้างหลักฐานเท็จโดยฟ้องศาลเพื่อให้ได้เอกสารน.ส.3 เป็นของตนเองและโอนชื่อเป็นตนเองในปี 2553

ซึ่งเจ้าหน้าที่ยอมรับว่าในการสร้างหลักฐานเท็จนั้นต้องมีคนร่วมกระทำผิดมากกว่า 2 ราย แต่บางคดีก็หมดอายุความไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้หนักใจเพราะมีหลักฐานที่ยืนยันได้ว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของมูลนิธิอภิธรรมมหาธาตุจริง

เป็นเรื่องที่ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
ขณะที่ญาติของนายบุญช่วยได้ยื่น หลักทรัพย์ขอประกันตัวในชั้นพนักงานสอบสวนคนละ 1 ล้านบาท แต่ตำรวจคัดค้าน เพราะความเสียหายในคดีนี้สูงถึง 3.5 พันล้านบาท เกรงว่าผู้ต้องหาไปยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน และจะนำตัวฝากขังศาล ในวันที่ 11 มิ.ย.

ภรรยาเก่าพล.ต.ต.ธารินทร์

ด้านน.ส.เขมจิรา บัณฑูรนิพิท อดีตภรรยาพล.ต.ต.ธารินทร์ เดินทางมายังกองปราบปราม พร้อมกับนำรูปภาพและอัฐิของพล.ต.ต.ธารินทร์ เพื่อยืนดักเฝ้ารอนายบุญช่วย และนายกิตติพงษ์ 2 ผู้ต้องหา หลังทราบข่าวเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการพิเศษ หนุมาน กองปราบฯ นำกำลังเข้าจับกุม

โดยน.ส.เขมจิรากล่าวว่า หลังต่อสู้คดีมาหลายสิบปี เมื่อนายบุญช่วยกับบุตรชายถูกจับ จึงมาที่กองปราบฯเพื่อรอพบเจอ เพราะอยากให้พวกเขายอมรับความจริงว่านายสมพลขายที่ดินให้ พระกิตติวุฑโฒ ในนามมูลนิธิอภิธรรมมหาธาตุจริงหรือไม่
สำหรับคดีที่นายบุญช่วยฟ้องร้องตนเองฐานฟ้องเท็จเกี่ยวกับเรื่องการครอบครองที่ดินทั้งหมด 3 คดี ศาลชั้นต้นสั่งลงโทษจำคุกตนและทนายรวมทั้งหมด 7 ปี โดยรอลงอาญาไว้ก่อน ขณะนี้กำลังเตรียมยื่นอุทธรณ์

อันที่จริงอดีตสามีของตนไม่ควรเสียชีวิตจากเรื่องนี้ แต่อย่างไรก็ตามตนก็ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบฯ และสื่อมวลชนที่ช่วยติดตามข่าวจนทำให้ความจริงปรากฏ

อย่างไรก็ตามข้อเท็จจริงของคดีก็ต้องรอพิสูจน์ในชั้นศาล รวมทั้งเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม ไม่ให้เกิดเหตุการณ์ศาลเตี้ยขึ้นมาอีก

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน