แฟ้มคดี

เป็นคดีที่อยู่ในความสนใจของสังคมอย่างยิ่ง

สำหรับกรณีน้องบีม ด.ญ.วัย 14 ปีที่ต้องพิการจากอุบัติเหตุรถชน จนต้องสูญเสียขาทั้ง 2 ข้างไปตั้งแต่อายุ 2 ขวบ

ขณะที่พ่อเสียชีวิต แม่ก็ต้องบาดเจ็บรุนแรง

แต่ 2 แม่ลูกก็ไม่หมดหวังกับชีวิต ยังต่อสู้ดิ้นรนทุกวิถีทาง

พยายามหาเลี้ยงชีพด้วยการขายของตามศาลาวัด ที่วัดชลประทานรังสฤษดิ์ ขณะที่น้องบีมที่กำลังศึกษาอยู่ ก็ต้องใช้เวลาว่างมาช่วยแม่ทำงาน

ส่วนหนึ่งที่ต้องลำบากลำบนถึงขนาดนี้ ก็เพราะเงินเยียวยา 5 ล้านบาทที่ได้รับจากคู่กรณีถูกโกงไปอย่างหน้าด้านๆ

ซึ่งคนที่ทำก็ไม่ใช่ใครที่ไหน กลับเป็นทนายอาสาที่ช่วยว่าความให้นั่นเอง

กลายเป็นผู้มีวิชาชีพให้คำปรึกษาทางกฎหมายแก่ผู้ด้อยโอกาสทางสังคม กลับใช้ช่องทางฉ้อฉลเสียเอง

จึงเป็นเรื่องที่ต้องติดตามว่ากระบวนการยุติธรรม จะให้ความเป็นธรรมกับครอบครัวน้องบีมได้มากน้อยเพียงใด

  • ทนายแสบเชิดเงินชดเชย 5 ล.

เหตุการณ์นี้ปรากฏขึ้นในความรับรู้ของสังคม เมื่อวันที่ 29 มิ.ย. โดยสื่อมวลชนนำเสนอเรื่องราวของชีวิต ของ น.ส.พรทิพย์ จันทรัตน์ อายุ 44 ปี และด.ญ.ภัทรดา แก้วผ่อง หรือน้องบีม อายุ 14 ปี เด็กหญิงพิการที่เคยร้องประสานเสียงคอรัสในภาพยนตร์โฆษณาชื่อดัง

โดยระบุว่าครอบครัวประสบอุบัติเหตุ พ่อเสียชีวิต แม่บาดเจ็บสาหัส ตัวเองพิการ ต้องตัดขาทั้ง 2 ข้าง ใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก ต้องมาขายของจำพวกเครื่องหอม ที่วัดชลประทานรังสฤษดิ์ ต.บางตลาด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี

แต่ประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับครอบครัว ไม่ใช่แค่ความยากลำบากเพียงแค่นี้ กลับเกิดจากการต่อสู้คดีกับคู่กรณี ซึ่งศาลตัดสินให้จ่ายเงินเยียวยารวมทั้งหมด 5 ล้านบาท โดยให้แบ่งจ่ายเป็นงวด งวดละ 4 หมื่นบาท

ซึ่งน้องบีมและครอบครัวก็ได้รับเงินเยียวยาเป็น 4 งวด หรือคิดเป็นเงิน 280,000 บาทเท่านั้น จากนั้นทุกอย่างก็เงียบหายไป

เมื่อพยายามติดต่อคู่กรณี ที่เป็นบริษัทรถพ่วง กลับได้รับคำตอบว่าได้จ่ายเงินเยียวยา 5 ล้านบาทไปหมดเรียบร้อย โดยมีคนรับก็คือทนายความที่ว่าความให้

ในที่สุดเรื่องก็แดง ว่าที่จริงแล้วทนายความเป็นคนอมเงินทั้งหมดไปนั่นเอง!??

หลังกลายเป็นข่าวอื้อฉาว นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และโฆษกกระทรวงยุติธรรม สั่งการให้เจ้าหน้าที่ลงพื้นที่วัดชลประทานฯ เพื่อติดตามตรวจสอบข้อมูลดังกล่าว พร้อมสั่งการให้สำนักงานกองทุนยุติธรรมเข้าช่วยเหลือ

เบื้องต้นทราบข้อเท็จจริงแล้วว่า ทั้งคู่ร้องทุกข์เคยแจ้งความไว้ที่สน.บางยี่ขัน แต่ก็ถอนแจ้งความไป โดยมีข้อตกลงทำสัญญารับสภาพหนี้ ต่อมาเมื่อมีการผิดสัญญา ก็ต้องพิจารณาเร่งรัดการดำเนินการทางกฎหมายในคดีดังกล่าว เพราะคดีกำลังจะหมดอายุความในเดือนส.ค. 2560

ไม่แน่ใจว่าความช่วยเหลือจะมาทันเวลา

  • แฉคำลวงขอถอนแจ้งความ

ขณะที่นางพรทิพย์ แม่ของน้องบีม เปิดใจถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าครอบครัวของตนประสบอุบัติเหตุรถปิกอัพที่นั่งมาถูกรถพ่วง 18 ล้อชนที่อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี เมื่อปี 2549 ส่งผลให้สามีเสียชีวิต ตนเองบาดเจ็บสาหัส ขณะที่น้องบีมขณะนั้นอายุเพียง 2 ขวบ ต้องตัดขาทิ้ง กลายเป็นเด็กพิการขาขาด 2 ข้าง ต้องนั่งวีลแชร์ตลอดเวลา

หลังจากนั้น นายพิสิษฐ์ สัมมาเลิศ ทนายความ ติดต่อมาอาสาจะว่าความให้ กระทั่งศาลพิพากษาให้คู่กรณีจ่ายเงินให้กับครอบครัวตน ทั้งนี้นายพิสิษฐ์อ้างว่าศาลสั่ง ให้บริษัทรถพ่วง จ่ายชดใช้ 1 ล้านบาท โดยจ่ายเป็นงวด งวดละ 40,000 บาท ผ่านนายพิสิษฐ์ เนื่องจากนายพิสิษฐ์นำเอกสารใบมอบอำนาจมาให้ตนเซ็น เนื่องจากเห็นว่าเดินทางไม่ค่อยสะดวกจึงยอมเซ็นไป

แถมยังบอกว่าที่จ่ายเพียง 1 ล้านบาท เพราะบริษัทเขาล้มละลายแล้ว

แต่ปรากฏว่านายพิสิษฐ์ โอนเงินมาให้เพียง 7 งวด รวมแล้วเป็นเงิน 280,000 บาท ซึ่งเงินทั้งหมดก็นำไปคืนญาติที่หยิบยืมมาช่วยตอนรักษาตัว พอมาถึงงวดที่ 8 ก็เงียบหาย เมื่อถามทางทนายพิสิษฐ์ ก็ไม่คืบหน้า จะขอเบอร์บริษัทเพื่อโทรศัพท์ไปถาม ทนายก็ไม่ให้ บอกว่าเดี๋ยวจัดการเอง

จนกระทั่งมีคนมาแนะนำให้เสิร์ชหาใน กูเกิ้ล จึงโทรศัพท์ไปหา ก็ทราบว่าชดใช้ไปหมดแล้ว เป็นเงิน 5 ล้านบาท โดยจ่ายเช็คล่วงหน้า สั่งจ่ายชื่อของทนายความ 31 ฉบับ ยอดตั้งแต่ 1 แสน – 2.5 แสนบาท ก็รู้สึกช็อกทำอะไรไม่ถูก บริษัทคู่กรณี ก็แนะนำให้แจ้งความที่สน.บางยี่ขัน ซึ่งเป็นพื้นที่ส่งมอบเช็ค

จึงเข้าแจ้งความเพื่อดำเนินคดีกับนายพิสิษฐ์ เมื่อวันที่ 28 เม.ย. 2558

ต่อมานายพิสิษฐ์ เมื่อทราบว่าตนแจ้งความดำเนินคดี ก็ติดต่อมาเกลี้ยกล่อมขอให้ถอนแจ้งความ อ้างว่าหากยอมถอนแจ้งความจะให้เงิน 1 แสนบาททันที ส่วนที่เหลือจะใช้คืนอีก 3 ล้านบาท โดยจะผ่อนชำระงวดละ 3 หมื่นบาท จนกว่าจะครบจำนวน

จึงหลงเชื่อไปถอนแจ้งความเมื่อวันที่ 8 ก.ค. 2558 เมื่อถอนแจ้งความแล้วนายพิสิษฐ์ก็เงียบหายไป แม้แต่เงิน 1 แสนบาท ที่สัญญาจะให้ภายใน 3 วัน ก็ไม่ได้

จากนั้นไปร้องเรียนหลายแห่ง ไม่ว่าศูนย์ดำรงธรรม สภาทนายความ แต่ก็ไม่คืบหน้า

จนคิดว่าควรจะต้องถอดใจ และยอมรับชะตากรรมที่เกิดขึ้น

  • สภาทนายลบชื่อ-ลุยฟ้องแพ่ง

อย่างไรก็ตามหลังปรากฏเป็นข่าวใหญ่ครึกโครม ความช่วยเหลือก็ถูกหยิบยื่นมาจากทุกภาคส่วน

แต่ในเรื่องของคดีความก็ยังดูเลือนราง โดยพล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร ผบช.น. ระบุถึงคดีฉ้อโกง ที่นางพรทิพย์ถอนฟ้อง ว่า คดีฉ้อโกงสามารถยอมความได้ และผู้เสียหายถอนคำแจ้งความร้องทุกข์ไปแล้ว หากประสงค์จะแจ้งดำเนินคดีอีกครั้งก็ทำไม่ได้ ยกเว้นจะเกิดข้อเท็จจริงขึ้นใหม่

จึงทำได้เพียงคดีปลอมแปลงเอกสาร ซึ่งคดีดังกล่าวพนักงานสอบสวนส่งสำนวนไปยังชั้นอัยการแล้ว ทั้งนี้สั่งการให้พ.ต.อ.อรรถวุฒิ นิวาตโสภณ ผกก.สน.บางยี่ขัน ดูว่าจะช่วยเหลือเยียวยาผู้เสียหายได้มากแค่ไหน

พร้อมตรวจสอบข้อเท็จจริง หากมีข้อมูลที่กระทำความผิดในกรรมอื่น ฐานอื่น หรือต่างกรรมต่างวาระ ต้องดำเนินการกับบุคคลที่ทำให้ผู้พิการเสียหาย แต่ถ้ามีเพียงแค่วาระเดียวหรือกรรมเดียวก็เป็นเรื่องยาก

เช่นเดียวกับ นายเนิน รอดกำพล อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญาธนบุรี 6 ที่ระบุว่า คดีนี้พนักงานสอบสวนมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง เนื่องจากผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์ เเต่ทางอัยการมองเเล้วว่าพฤติการณ์ของผู้ต้องหาไม่ดี มีความเห็นสั่งฟ้องในข้อหาปลอมแปลงเอกสาร และใช้เอกสารปลอม ฉ้อโกง และยักยอกทรัพย์ ซึ่งอยู่ในขั้นตอนส่งความเห็นไปยัง ผบ.ตร.เพื่อทำความเห็น หากผบ.ตร.มีความเห็นแย้งกับพนักงานอัยการ ต้องส่งไปให้อัยการสูงสุดพิจารณาชี้ขาด

ล่าสุดผบ.ตร.เห็นพ้องอัยการ ส่งผลให้สน.บางยี่ขันต้องออกหมายเรียกนายพิสิษฐ์ มารับทราบข้อกล่าวหาต่อไป

ขณะที่นางพรทิพย์ เข้าพึ่งสภาทนายความ เพื่อขอให้ตั้งทนายช่วยเหลือด้านคดีแพ่งและอาญา รวมทั้งยื่นคำร้องให้ลงโทษทางมรรยาททนายความ

ซึ่งหลังจากนี้สภามรรยาท ทนายความ ซึ่งรับเรื่องดังกล่าว จะพิจารณาทางวินัย หากเห็นว่านายพิสิษฐ์มีความผิดจริง ถือเป็นการกระทำผิดร้ายแรงกับลูกความ

ล่าสุดสภาทนายความลงมติเอกฉันท์ให้ลบชื่อเรียบร้อยแล้ว ส่งผลให้ไม่สามารถประกอบอาชีพทนายความได้ 5 ปี เมื่อครบ 5 ปี หากจะขอขึ้นทะเบียนก็ต้องผ่านการพิจารณาอีกขั้นตอนหนึ่ง

ทั้งนี้จากการตรวจสอบยังทราบว่านาย พิสิษฐ์เคยมีประวัติถูกพักใบอนุญาตว่าความหรือตั๋วทนายมาแล้วตั้งแต่ปี 2550-2552

รวมทั้งยื่นฟ้องศาลแพ่ง เพื่อเรียกร้องค่าเสียหายจากนายพิสิษฐ์ เป็นเงิน 3.4 ล้านบาท จากกรณีการโกงเงินสินไหมทดแทน

และแม้นายพิสิษฐ์จะถูกฟ้องล้มละลายเมื่อปี 2548 แต่ก็พ้นสภาพเรียบร้อยแล้วเมื่อปี 2552

ซึ่งศาลนัดไต่สวนนัดแรกในวันที่ 28 ส.ค.นี้

หวังว่าจะผดุงความยุติธรรมให้กับครอบครัวน้องบีมได้

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน