กฤษณะ เชิญธงไชย

เรื่อง/ภาพ

ช่วงเที่ยงวันที่ 10 ส.ค.ที่ผ่านมา ชาวเมืองเชียงใหม่ต่างตกอยู่ในเหตุระทึก

เมื่อจู่ๆ เกิดฉากซิ่งรถไล่ล่ากันกลางท้องถนนราวกับภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดหลุดออกจากโรงหนัง

ก่อนรถคนร้ายที่หนีจะสิ้นฤทธิ์ เมื่อถูกอีกฝ่ายยิงล้อจนยางระเบิด

หลังเหตุระทึกสงบลง ตำรวจชุดจับกุมกรูเข้าไปล้อมรถคนร้าย จับ กุมชาย2คนที่นั่งอยู่ภายใน ตรวจค้นในรถพบยาบ้าซุกซ่อนอยู่ 177 เม็ด

แต่เหตุการณ์ไม่จบลงแค่เจ้าหน้าที่ตามจับผู้ต้องหาคดียาเสพติดเท่านั้น เพราะหนึ่งในคนร้ายเป็นตำรวจประจำการ ยศส.ต.ต. สังกัดตำรวจภูธรภาค 5

เมื่อมีผู้ใต้บังคับบัญชาเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้ต้องหาคดียาเสพติด พล.ต.ต.พิทยา ศิริรักษ์ รอง ผบช.ภาค 5 จึงรุดไปสอบปากคำด้วยตัวเองทันที ที่สภ.ภูพิงคราชนิเวศน์ ท้องที่เกิดเหตุ

พล.ต.ต.พิทยาให้สัมภาษณ์หลังสอบปากคำผู้ต้องหาถึงรายละเอียดเหตุการณ์ทั้งหมดว่า ก่อนเกิดเหตุตำรวจชุดสืบสวน สภ.ภูพิงคราช นิเวศน์ ตั้งด่านกวดขันจราจร บริเวณถนนคลองชลประทานก่อนถึงแยกตลาดต้นพยอม

กระทั่งเวลาเกือบ 13.00 น. พบคนร้ายขับรถยนต์มิตซูบิชิ สีม่วง แต่งซิ่งทั้งคันไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนผ่านเข้ามาที่ด่าน เจ้าหน้าที่จึงโบกให้จอดเพื่อตรวจสอบ

แต่คนร้ายกลับพยายามขับรถหนี และแหกด่านสกัดเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก่อนที่จะชนกับรถยนต์ตามเส้นทางหลบหนีจากถนนคันคลองชลประทานไปตามเส้นทางวงแหวนรอบสอง เป็นระยะทางกว่า 10 กิโลเมตร ตลอดทางก็ขับรถอย่างหวาดเสียวเฉี่ยวชนรถของชาวบ้านไม่ต่ำกว่า 7-8 คัน

เมื่อตำรวจตามไปทันบริเวณสะพานลอยข้ามแยกหนองหอย เป็นช่วงที่ปลอดจากประชาชนและยานพาหนะอื่น ตำรวจตัดสินใจใช้อาวุธปืนยิงยางล้อหลังจนแตก กระทั่งรถคนร้ายเสียหลักหมุนไปชนขอบสะพานจนพังเสียหายวิ่งต่อไม่ได้

เจ้าหน้าที่จึงกระจายกำลังล้อมรถจับกุม พบว่าคือ ส.ต.ต.กฤษฎาพงษ์ สารเทพ ผบ.หมู่ กองกำกับการปฏิบัติการพิเศษ กองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 5 และนายเอ (นามสมมติ) อายุ 25 ปี ที่มีอาการคล้ายเมายา โดยพบยาบ้าซุกซ่อนอยู่ในรถเกือบ 200 เม็ด

สอบสวนส.ต.ต.กฤษฎาพงษ์ให้การภาคเสธว่า เพียงนั่งติดรถ นายเอเพื่อไปทำธุระเท่านั้น ไม่รู้เห็นกับยาเสพติดที่พบ

แต่เบื้องต้น พล.ต.ท.พูลทรัพย์ ประเสริฐศักดิ์ ผบช.ภาค 5 มีคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน

ขณะที่นายเอสารภาพว่า เป็นสายข่าวให้กับตำรวจ จนรู้จักตำรวจหลายคน ก่อนเกิดเหตุมีนายตำรวจคนหนึ่งโทรศัพท์ให้ไปขอเอกสารเกี่ยวกับการบำเพ็ญกุศลสาธารณะสำหรับผู้ต้องโทษที่เทศบาลตำบล สุเทพ จึงขับรถแวะไปรับส.ต.ต.กฤษฎาพงษ์จากคอนโดมิเนียมที่พัก เพื่อให้เป็นเพื่อนไปด้วยกัน โดยตำรวจนายดังกล่าวไม่ได้รู้เรื่องที่มียาบ้าอยู่ในรถแต่อย่างใด

กระทั่งขับรถมาถึงพบว่ามีด่านตำรวจทำให้ตกใจรีบขับรถแหกด่าน ตอนนั้นไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร เกิดความกลัวด่านคิดแต่จะหนีอย่างเดียว จนมารู้ตัวอีกทีก็ถูกจับแล้ว

หลังทราบข่าวส.ต.ต.กฤษฎาพงษ์โดนจับ บรรดาเพื่อนร่วมงานและผู้บังคับบัญชาต่างเข้าเยี่ยมให้กำลังใจ พร้อมให้ปากคำในฐานะพยานและมาให้รายละเอียดประวัติการทำงานของตำรวจนายนี้

โดยเฉพาะนายตำรวจยศ ร.ต.อ.รายหนึ่งยืนยันว่า เป็นผู้สั่งให้นายเอไปขอเอกสารที่สำนักงานเทศบาลตำบลสุเทพ ระหว่างนั้นส.ต.ต.กฤษฎาพงษ์ได้โทรศัพท์มาขอความช่วยเหลือ บอกว่านายเอไปรับที่คอนโดฯ แต่ระหว่างทางเห็นด่านเกิดอาการกลัวจนขับแหกด่านหลบหนี มีตำรวจไล่ติดตามมา จึงบอกให้ส.ต.ต.กฤษฎาพงษ์บังคับให้หยุดรถทันที

ร.ต.อ.รายดังกล่าวระบุว่า ได้ยินเสียงส.ต.ต.กฤษฎาพงษ์ตะโกนด่านายเอให้จอดรถแต่ไม่เป็นผล จึงบอกให้ใช้ปืนขู่ แต่ส.ต.ต.กฤษฎาพงษ์ไม่ได้พกปืนประจำกายติดตัวไปด้วย เมื่อให้กระโดดหนีออกจากรถ ส.ต.ต.กฤษฎาพงษ์ ก็ทำไม่ได้เพราะขับเร็วมาก กระทั่งถูกจับกุม ในที่สุด

ร.ต.อ.รายดังกล่าวยืน ยันว่า ส.ต.ต.กฤษฎาพงษ์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติดและการแหกด่านครั้งนี้ด้วย จะไปรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ ทั้งในเรื่องของการโทรศัพท์ช่วงขอความช่วยเหลือ วันเวลา ที่โทรศัพท์กับช่วงเกิดเหตุ เพื่อขอความเป็นธรรมกับส.ต.ต. กฤษฎาพงษ์

ส่วนนายเอต้องว่ากันไปตามความเป็นจริง ผิดก็ว่ากันไปตามผิด

นับเป็นประสบการณ์ตรงที่นายสิบตำรวจรายนี้จะต้องจดจำไป อีกนาน คงต้องรอดูว่าหลักฐานที่เจ้านายมีในมือจะช่วยล้างมลทินให้ได้หรือไม่

เพราะแม้จะยืนยันไม่รู้เห็นอะไร แต่เมื่อนั่งรถมากับผู้ต้องหาจึงต้องตกกระไดพลอยโจนไปด้วย

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน