ลุยรื้อฟื้นคดี‘น้องเมย’

พ่อ-แม่เชื่อถูกซ่อมดับ

ช้ำ-หมายเกณฑ์ทหาร

ทบ.อ้างเป็นข้อมูลเก่า

คอลัมน์ แฟ้มคดี

‘น้องเมย’ – กลับมาเป็นประเด็นสนใจของสังคมอีกครั้ง สำหรับ น้องเมย ภคพงศ์ ตัญกาญจน์ อดีตนักเรียนชั้นปีที่ 1 โรงเรียนเตรียมทหาร ที่เสียชีวิตปริศนาหลังจากการเข้าเรียนที่โรงเรียนเตรียมทหาร เมื่อ 3 ปีก่อน

ซึ่งครอบครัวเชื่อว่าเกิดจากผลที่ถูกรุ่นพี่ซ่อม หรือธำรงวินัย แต่คณะกรรมการสอบสวนของกองทัพไทยระบุว่า ไม่เกี่ยวข้อง แต่เป็นเพราะหัวใจล้มเหลวเอง

ครอบครัวแถลงจี้คดี

เป็นเหตุให้ครอบครัวต้องต่อสู้คดีด้วยตัวเอง และหวังว่าจะได้รับความยุติธรรม แม้จะแทบไม่มีความคืบหน้าใดๆ

โดยครั้งนี้กลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้ง เมื่อสัสดีอำเภอเมืองชลบุรี ส่งหมายเรียกให้น้องเมยมารายงานตัวเกณฑ์ทหาร

ซึ่งระบุว่าหากเพิกเฉยจะต้องมีโทษถึงขั้นติดคุก

ส่งผลให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ถึงความล้าหลังของระบบทะเบียนทหาร ทั้งที่ใช้งบประมาณสูงลิบ โดยเฉพาะเรื่องการซื้ออาวุธ

แม้จะมีคำขอโทษออกมา แต่ก็แทบไม่ได้เยียวยาจิตใจผู้สูญเสีย

แถมยังทำให้การย้ำเตือนว่าคดีนี้ยังไม่ได้รับความยุติธรรม

ดังกึกก้องขึ้นมาอีกครั้ง

ตะลึงหมาย‘น้องเมย’เกณฑ์ทหาร

เหตุการณ์สะเทือนสังคมครั้งนี้ปรากฏเป็นที่รับรู้ต่อสาธารณะเมื่อวันที่ 17 ส.ค. เมื่อพี่สาวของน้องเมย ภคพงศ์ ตัญกาญจน์ นักเรียนเตรียมทหาร ที่เสียชีวิตเพราะถูกสั่งธำรงวินัยโดยรุ่นพี่ เหตุเกิดเมื่อปี 2560 นำจดหมายลงนามโดยพ.ท.ประครอง วงศ์ใหญ่ สัสดีอำเภอเมืองชลบุรี

จดหมายบาดหัวใจ

จดหมายดังกล่าวจ่าถึงนายภคพงศ์ ตัญกาญจน์ ระบุว่าด้วยในคราวตรวจเลือกทหารกองเกินเข้ารับราชการทหารกองประจำการ ประจำปี 2563 ของอำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี ปรากฏว่าท่านเป็นบุคคลหนึ่งที่ไม่ไปแสดงตนเพื่อรับหมายเรียกเข้ารับราชการทหาร โดยไม่ปฏิบัติตามมาตรา 25 แห่งพ.ร.บ.รับราชการทหาร พ.ศ.2497

จึงให้ท่านไปแสดงตนต่อเจ้าหน้าที่สัสดีอำเภอเมืองชลบุรี ณ ที่ทำการสัสดีอำเภอเมืองชลบุรี ภายในที่ว่าการอำเภอเมืองชลบุรีด่วนที่สุด ภายในวันที่ 31 ส.ค. 63 เพื่อชี้แจงให้ทราบเหตุผลที่ท่านไม่ปฏิบัติตามที่กฎหมายกำหนดไว้

เมื่อพ้นระยะเวลาที่กำหนดดังกล่าว ท่านจะถูกดำเนินคดีอาญาตามความผิดฐานหลีกเลี่ยงขัดขืนไม่มาแสดงตนเพื่อรับหมายเรียกเข้ารับราชการทหาร ตามมาตรา 44 มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน ปรับไม่เกิน 300 หรือทั้งจำทั้งปรับ

โดยนางสุกัลยา แม่ของน้องเมย ระบุเชิงประชดประชันว่า “ลูกผู้ชายอย่างเรา ห้ามหนีทหารนะ อยู่ไหน…รีบเหาะมานะครับ เดี๋ยวโดนคดีอาญานะครับ..”

ขณะที่นายพิเชษฐ ตัญกาญจน์ พ่อของน้องเมย กล่าวว่า น้องเมยเสียชีวิตไปแล้ว 3 ปี ครอบครัวยังเศร้าโศกใจอยู่ทุกวัน เมื่อได้รับจดหมายว่าหลีกเลี่ยงไม่ไปเกณฑ์ทหารอีก ซึ่งเป็นการตอกย้ำและทำร้ายจิตใจกันมาก ทั้งที่ลูกชายเสียชีวิตไปแล้วและอยู่ในความดูแลของทหาร แต่ไม่สนใจเรื่องการเสียชีวิตของลูกชาย มีการออกหมายเรียกให้ไปรายงานตัวอีก และยังเอากฎหมายมาขู่ลงโทษว่าหนีทหารและจะถูกจำคุกอีก

“ทำใจไม่ได้ รับไม่ได้ ทำไมกองทัพบกทำอย่างนี้ ที่สำคัญทุกวันนี้คดีของน้องเมยยังไม่มีความคืบหน้าเลย จึงอยากจะ เรียกร้องความเป็นธรรมให้กับน้องเมย เพื่อเอาคนผิดมาลงโทษเหมือนกัน”

หลังเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์คล้อยไป 1 วัน พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก แถลงว่า กองทัพบกขออภัยกับสิ่งที่เกิดขึ้นที่ไปกระทบความรู้สึกซึ่งในข้อเท็จจริงระบบทะเบียนทหารยังไม่เชื่อมโยงกับทะเบียนราษฎร ทั้งนี้ตามขั้นตอนปกติของการตรวจเลือกทหาร เมื่อชายไทยที่เป็นกองหนุนคนใดก็ตาม ไม่มาขอรับหมายเกณฑ์ ทางสัสดีก็จะถามหาเหตุผลโดยมีหนังสือส่งไป

หากมีเหตุหรือเสียชีวิตไปแล้ว ทางผู้ปกครองก็จะนำหลักฐานมาเพื่อแก้บัญชี ซึ่งยังไม่ได้มีการตรวจสอบจากสำนักทะเบียนราษฎร

เป็นความผิดพลาดจากระบบ!??

ครอบครัวรื้อคดี-หลัง 3 ปีไม่คืบ

ขณะที่นายพิเชษฐ-นางสุกัลยา และน.ส.สุพิชา ตัญกาญจน์ พ่อแม่และพี่สาวของ น้องเมย แถลงข่าวถึงกรณีที่เกิดขึ้น โดยน.ส. สุพิชาระบุว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับครอบครัวถือเป็นเรื่องตลกร้าย อย่างไรก็ตามเชื่อว่าสัสดีจังหวัดและสัสดีอำเภอ ไม่มีเจตนาที่จะทำให้เกิดข้อผิดพลาดขึ้น แต่ข้อผิดพลาดต่างๆ น่าจะเกิดจากความล้าหลังในการจัดเก็บข้อมูลของหน่วยงานทหาร จึงอยากเสนอต่อทางกองทัพให้พิจารณาเรื่องของการจัดสรรงบประมาณว่าน่าจะให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบข้อมูลและเทคโนโลยีสารสนเทศมากกว่าการนำไปจัดซื้อยุทโธปกรณ์

น้องเมยกับครอบครัว

ส่วนเรื่องคดีความของน้องเมย น.ส.สุพิชากล่าวว่า ที่ผ่านมาการยื่นฟ้องหรือการแจ้งความดำเนินคดีต่างๆ โดยเข้าแจ้งความกับผู้ที่เชื่อว่ามีส่วนต่อการเสียชีวิตของน้องชายที่สภ.บ้านนา และ สภ.เมืองนครนายก ถึงวันนี้ยังคงเงียบหายโดยเฉพาะเรื่องของผลชันสูตรการเสียชีวิตที่ยังอยู่ในชั้นอัยการ ส่วนอีกหนึ่งคดีได้ถูกยกฟ้อง

แต่พร้อมนำหลักฐานใหม่ เพื่อเอาผิดกับข้าราชการทหารบางนาย ที่เชื่อว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายและมีส่วนต่อการเปลี่ยนแปลงข้อมูลจนทำให้ไม่สามารถสรุปสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริงได้

นอกจากนั้นยังจะเข้าขอความเป็นธรรมต่อกมธ. สภาผู้แทนราษฎร ในทุกกรณีที่ทางครอบครัวเชื่อว่าการเสียชีวิตของ ‘น้องเมย’ ไม่ใช่เกิดจากหัวใจล้มเหลว

“คดีนี้ไม่ต่างจากคดีของ นายบอส อยู่วิทยา ที่มีการเปลี่ยนแปลงเรื่องความเร็วรถ คดีนี้พบว่าใช้เทคนิคบางประการที่ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่สามารถสรุปสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริงได้”

นอกจากนี้ ยังมีข่าวลือเรื่องการรับเงินเยียวยา 10 ล้านบาท ซึ่งไม่เป็นความจริง ทุกวันนี้ทุกคนในครอบครัวยังต้องทำงานหาเงินเป็นค่าทนายและการต่อสู้คดีให้กับน้องชาย โดยตนมี รายได้จากการรับเป็นที่ปรึกษาคดี เมื่อว่างจากงานก็ต้องมาช่วยผู้เป็นแม่ทำขนมส่งขาย เช่นเดียวกับพ่อที่ยังต้องทำงานประจำเพื่อให้มีรายได้

ที่ผ่านมายังไม่เคยได้รับการติดต่อหรือได้รับความช่วยเหลือจากทางโรงเรียนเตรียมทหารหรือแม้แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

เป็นอีกคดีที่รอความยุติธรรม

สัสดีขอโทษ

เปิดผลสอบทหารยันไม่มีซ่อมดับ

สำหรับกรณี ‘น้องเมย’ นักเรียนชั้นปีที่ 1 โรงเรียนเตรียมทหาร เสียชีวิตเมื่อวันที่ 17 ต.ค. 60 โดยมีใบมรณบัตรสรุปสาเหตุการตายว่าเกิดจากภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน เมื่อนำศพมาทำพิธีทางศาสนา นายพิเชษฐ พ่อน้องเมยตัดสินใจนาทีสุดท้ายไม่เผาศพลูก นำศพส่งชันสูตรเพื่อหาสาเหตุการตายที่แท้จริง

ซึ่งพบว่าอวัยวะภายในหายไปทั้งหมด มีร่องรอยซี่โครงแท่งที่ 4 หัก มีรอยช้ำภายในช่องท้องเท่ากำปั้น ด้านหลังซีกซ้ายมีรอยช้ำ ไหปลาร้าหักทั้ง 2 ข้าง แพทย์ระบุไม่น่าเกิดจากปั๊มหัวใจ เพราะหากปั๊มหัวใจต้องหักทั้งแถบ

ขณะที่แม่ก็ระบุว่าก่อนหน้าเสียชีวิต 2 เดือน น้องเมยถูกซ่อมวินัย ใช้หัวปักพื้นในห้องน้ำนายทหาร จนช็อกเลือดตกหัว ต้องปั๊มหัวใจกลับขึ้นมา แต่ลูกไม่ติดใจเอาความ

ต่อมาวันที่ 15 ธ.ค. 60 พล.อ.อ.ชวรัตน์ มารุ่งเรือง รองเสนาธิการทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย ในขณะนั้น แถลงผลสอบสวนระบุว่า นตท.ภคพงศ์ เสียชีวิตเมื่อวันที่ 17 ต.ค. วันดังกล่าวพักรักษาตัวที่กองแพทย์ วงจรปิดพบเดินออกจากกองแพทย์ แล้วเป็นลมล้มลง มีอาการคล้ายไฮเปอร์เวนติเลชั่น คือเกร็ง ชา หายใจถี่เร็ว จนออกซิเจนในเลือดเพิ่มมากขึ้น สามารถหมดสติและสูญเสียความรู้สึกได้ มีลักษณะมือจีบ ซึ่งพบบ่อยในนักเรียนเตรียมทหาร

นักเรียนชั้นปีที่ 1 ที่เห็นก็ทราบอาการดี เพราะตัวเองเคยเป็น จึงรีบตามจนท.กองแพทย์มาพานตท.ภคพงศ์ไปรักษาจนอาการปกติ

ต่อมาเกิดอาการอีกจึงนำโรงส่งร.พ.โรงเรียนนายร้อยเวลา 16.42 น. ทำซีพีอาร์นาน 4 ชั่วโมง จึงยุติ

จากการสอบสวนข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าตลอดทั้งวัน ของวันที่ 17 ต.ค. 60 นตท.ภัคพงศ์ ถูกใครสั่งลงโทษ หรือถูกทำร้ายร่างกาย จึงเชื่อว่าในวันดังกล่าวไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดลงโทษหรือทำร้ายร่างกาย นตท.ภคพงศ์ จนเป็นเหตุให้เสียชีวิต

ส่วนประเด็นเรื่องรอยฟกช้ำตามร่างกายนตท.ภคพงศ์ พบว่าเมื่อวันที่ 10 ต.ค. เวลา 15.51 น. นตท.ภคพงศ์ ลื่นล้มตกบันได 8 ขั้น

ช่วงเย็นวันที่ 15 ต.ค. นักเรียนบังคับบัญชา เห็นว่านักเรียนยังมีวินัยไม่ดี จึงปลุกนักเรียนมาธำรงวินัยหลังเที่ยงคืน ในห้องเซาน่า เช้าวันที่ 16 ต.ค. สั่งวิ่ง นตท.ภคพงศ์วิ่งช้า ถูกกระโดดกบต่อ เมื่อเสร็จแล้วไม่ขอบคุณ จึงถูกสั่งพุ่งหลัง จนฟุบ หายใจเร็ว มือจีบ

ต่อมาวันที่ 16 ต.ค. ช่วงเช้า สั่งวิ่งรอบโรงอาหาร ระยะทาง 100 เมตร ตัดท้ายแถวเอาคนวิ่งช้า 2 คน ซึ่งก็มีนตท.ภคพงศ์ด้วย แล้วสั่งให้กระโดดกบ 20 เมตร หลังเลิกให้เข้าแถวเพื่อขอบคุณ

แต่นตท.ภคพงศ์ ไม่พอใจ ไม่ขอบคุณ จึงโดนสั่งให้พุ่งหลัง 1-2 นาที จนฟุบไป หายใจเร็วถี่ มีลักษณะมือจีบ

ทั้งนี้การพุ่งหลังเป็นท่าที่อนุญาตให้ใช้ สรุปได้ว่าการเสียชีวิตของนตท.ภคพงศ์ ไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดสั่งลงโทษหรือทำร้าย ซึ่งอาจจะเป็นเหตุให้เกิดการเสียชีวิต

ขณะที่ครอบครัวไม่เชื่อ และเดินหน้าเรียกร้องความเป็นธรรมต่อไป

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน