คอลัมน์ สดจากสนามข่าว อุทาหรณ์เชียร์ลีดเดอร์สาวดับ ตร.แจ้งข้อหารุ่นพี่คนสั่งวิ่ง มรภ.ภูเก็ตโต้ลงโทษโหด !
ความพยายามในการปกปิดสาเหตุการ เสียชีวิตของ ‘น้องมิ้นท์’ หรือ น.ส.พรพิพัฒน์ เอียดดำ นักศึกษาชั้นปีที่ 1 สาขาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต ข้อมูลที่กระเส็นกระสายออกมาว่า น้องมิ้นท์ ถูกรุ่นพี่ลงโทษ เพราะมาซ้อมลีดช้า จนเป็นลมและช็อกหมดสติก่อนเสียชีวิตในเวลาถัดมา ยิ่งทำให้ประเด็นเรื่องการรับน้องโหดกลับมาเป็นที่พูดถึงกันอีกครั้ง
ย้อนไปเมื่อวันที่ 21 ส.ค. ที่ สภ.เมืองภูเก็ต บรรดาญาติๆ ของ น.ส.พรพิพัฒน์ ผู้เสียชีวิต นำโดย น.ส.วิลาวรรณ เอียดคำ ซึ่งเป็นพี่สาว เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.ชน สุทธิมาศ รองผกก.(สอบสวน)สภ.เมืองภูเก็ต เพื่อแจ้งความลงบันทึกประจำวัน พร้อมขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนหาสาเหตุการเสียชีวิต หลังพบว่าข้อมูลจากอาจารย์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ตแจ้งกับข้อมูลที่ได้จากเพื่อนๆ ผู้เสียชีวิตไม่สอดคล้องกัน
น.ส.วิลาวรรณพี่สาวผู้เสียชีวิต เล่าว่า เมื่อวันที่ 19 ส.ค. ที่ผ่านมา ทางมหาวิทยาลัยได้แจ้งกับครอบครัวว่า น้องเป็นลมและได้นำ ส่งโรงพยาบาลวชิระภูเก็ต ทางครอบครัวจึงรีบเดินทางไปที่โรงพยาบาล เมื่อไปถึงก็พบว่าน้องอยู่ในห้องฉุกเฉิน ซึ่งมีหมอและพยาบาลให้การช่วยเหลืออยู่ โดยทางหมอแจ้งว่าน้องมีอาการหนัก ซึ่ง ขัดแย้งกับอาการเป็นลม และทางหมอแจ้งว่าน้องมีเลือดออกใน ช่องปอด ซึ่งอาการนี้มันยังหาสาเหตุไม่ได้
จากนั้นวันที่ 20 ส.ค.หมอก็ยังสอบถามว่าสาเหตุของน้องเกิดจากอะไรกันแน่ และในวันนั้น เพื่อนๆ รุ่นพี่และอาจารย์ของมหาวิทยาลัยได้เดินทางมาถึง ทางเราจึงได้สอบถามว่าเหตุการณ์เป็นอย่างไรซึ่งดูจากอาการแล้วไม่น่าจะใช่เป็นลมแต่ก็ไม่ได้ข้อมูลที่ชัดเจน
ทางอาจารย์แจ้งว่าก่อนเกิดเหตุน้องไปซ้อมเชียร์ลีดเดอร์ ซึ่งก่อนการซ้อมจะมีการวิ่งวอร์มร่างกายซึ่งน้องวิ่งได้เพียง 1 รอบก็เกิดอาการเป็นลม จากนั้นเพื่อนๆ เลยนำน้องมาส่งโรงพยาบาล ซึ่งอาจารย์และรุ่นพี่น้องๆ เพื่อนๆ เล่าข้อมูลมาเพียงเท่านี้ กระทั่งเมื่อเวลา 18.20 น.วันที่ 20 ส.ค. น้องมิ้นท์ก็ เสียชีวิตที่โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต
จากข้อมูลที่พบในเพจต่างๆ เเละจากการสอบถามความจริงกับเพื่อนๆ ของน้อง ให้ข้อมูลว่าน้องได้ถูกทำโทษ หลังจากที่น้องได้มาซ้อมลีดสาย เนื่องจากต้องทำงานอยู่ที่อีกตึกหนึ่ง โดนรุ่นพี่ได้สั่งให้วิ่งจำนวน 8 รอบ ซึ่งน้องวิ่งได้ในรอบที่ 7 ก่อนจะมีอาการช็อก
น.ส.วิลาวรรณกล่าวอีกว่า ตอนนี้น้องเสียชีวิตไปแล้ว ก็ต้องทำใจ ทางครอบครัวเองและทางญาติพี่น้องไม่ได้ต้องการให้มหาวิทยาลัยเสียชื่อเสียง แต่ยังติดใจว่าทำไมไม่ให้ข้อมูลที่แท้จริงกับทางครอบครัวและหมอ เพื่อเป็นประโยชน์การรักษา
วันนี้จึงเดินทางมาพบเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อลงบันทึกประจำวันเพื่อต้องการ ข้อเท็จจริงจากปากของอาจารย์และ รุ่นพี่ โดยอยากให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเหตุการณ์สุดท้ายของ น้องๆ และไม่อยากให้มีการกระทำเช่นนี้ก็อีก เพราะบุตรหลานใคร ใครก็รัก
“น้องสาวเป็นคนที่ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงเป็นเด็กกิจกรรม ของโรงเรียนตั้งแต่ชั้นประถม จนเข้ามหาวิทยาลัยชั้นปีหนึ่ง หลังจากที่เสียชีวิตทางมหาวิทยาลัยได้ติดต่อมาขอจัดการในเรื่อง ค่าใช้จ่ายในการทำศพ ซึ่งตอนนี้ศพของน้องยังอยู่ที่โรงพยาบาล คาดว่าจะนำไปตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดท่าเรือ อำเภอถลางจังหวัดภูเก็ต” น.ส.วิลาวรรณกล่าว
ก่อนที่เรื่องราวจะบานปลายกันไปใหญ่ ผศ.ดร.หิรัญ ประสารการ อธิการบดี ก็รีบเปิดแถลงข่าวถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น พร้อมระบุว่าไม่ใช่การรับน้องโหด แต่เป็นกิจกรรมซ้อมเชียร์กีฬาสี โดยวันเกิดเหตุมีการซ้อมเชียร์ลีดเดอร์กลุ่มสีชมพู โดยมีรุ่นน้องปี 1 ทั้งหมด 11 คน รุ่นพี่ 4 คน รวม 15 คน
ซึ่งช่วงบ่ายวันเกิดเหตุมีการซ้อมเต้นตามท่าโดยมีข้อตกลงกันว่าหากเต้นผิดจังหวะจะต้องวิ่งรอบลานจอดรถ 1 รอบ หลังซ้อมเสร็จได้มีการให้ดื่มน้ำและพักผ่อน
จากนั้นเวลาประมาณ 19.00 น. กลุ่มเชียร์ลีดเดอร์เริ่มวิ่งรอบลานจอดรถ โดยกำหนดวิ่ง 8 รอบ แต่เมื่อวิ่งถึงรอบที่ 6 น้องมิ้นท์เกิดเป็นลมหมดสติ เพื่อนๆ และรุ่นพี่จึงช่วยกันปฐมพยาบาลก่อนโทร.แจ้ง 1669 และทำตาม คำแนะนำของเจ้าหน้าที่ ก่อนรีบนำตัวส่งร.พ. แล้วแจ้งให้ญาติทราบ
อย่างไรเสียเหตุการณ์นี้ก็ต้องมีผู้รับผิดชอบ หลังรับแจ้ง พ.ต.อ. ธีรวัฒน์ เลี่ยมสุวรรณ ผกก.สภ.เมืองภูเก็ต เรียกผู้เกี่ยวข้องทั้งรุ่นพี่และอาจารย์มาสอบปากคำ ก่อนแจ้งข้อกล่าวหากระทำการโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย กับรุ่นพี่นักศึกษาชั้นปีที่ 2 ซึ่งเป็นคนรับว่าสั่งลงโทษให้น้องมิ้นท์วิ่งในวันเกิดเหตุ
ส่วนสำนวนคดี ยังรอเพียงผลการชันสูตรศพที่จะนำมาประกอบในสำนวนการสอบสวน ซึ่งถือเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญ หลังจากนั้นจะมีการรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมดส่งฟ้องต่อศาลจังหวัดภูเก็ตได้ในทันที
มีแต่ความจริงเท่านั้นที่จะช่วยให้ความทุกข์ของครอบครัวน้องมิ้นท์ บรรเทาเบาบางลงได้
อรรณพ เพ็ชรภิมล / เรื่อง และภาพ
