ชนะ วสุรักคะ

เรื่อง/ภาพ

ธรรมชาติของวัยโจ๋ หากอยู่ตัวคนเดียวดีกรีความห้าวก็ยังไม่เท่าไหร่ แต่หากได้รวมตัวกันขึ้นมาเมื่อไหร่ ความห้าว ความกร่าง ความดุ แข่งกันพุ่งสูงจนทะลุปรอทกันเลยทีเดียว เช่นเหตุการณ์เมื่อวันที่ 5 ต.ค. เป็นอีกเหตุการณ์ที่แก๊งโจ๋ แสดงความกร่าง ด้วยพฤติกรรมป่าเถื่อนจนคนทั่วไปยากจะรับได้

เรื่องราวถูกเปิดเผยขึ้นเมื่อกลางดึกวันดังกล่าว ร.ต.อ.จำรัส ศรีหาตา รองสารวัตร (สอบสวน) สภ.เมืองนครพนม รับแจ้งเหตุมีคนถูกแทงเสียชีวิตข้างร้านก๋วยเตี๋ยวเป็ด @ นครพนม ริมถนนทางหลวงหมายเลข 212 สายนครพนม-สกลนคร บ้านผึ้ง หมู่ 5 ต.บ้านผึ้ง อ.เมือง จ.นครพนม จึงรีบรุดไปตรวจสอบพร้อมเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน แพทย์เวร ร.พ.นครพนม กู้ชีพ อบต.บ้านผึ้ง กู้ภัยสว่าง นาวาธาตุพนม และกู้ภัยนครพนม

บริเวณข้างถังใส่น้ำแข็งพบศพนายนพพร ชมชื่น หรือต้น อายุ 29 ปี พ่อค้าก๋วยเตี๋ยว มีบาดแผลถูกแทงด้วยอาวุธมีดเข้าตามร่างกายรวมกว่า 20 แผล นอนจมกองเลือดเสียชีวิตโดยมีนางพร ชมชื่น อายุ 56 ปี มารดา นั่งกอดศพลูกชายร่ำไห้ด้วยความเศร้าเสียใจ

เจ้าหน้าที่ตรวจสอบที่หน้าร้าน พบรั้วเหล็กล้มกระจัดกระจาย มีรอยเลือดหยดเป็นทาง ส่วนคนร้ายทราบว่ามีกว่า 20 คน คาดเป็นกลุ่มวัยรุ่นในพื้นที่ หลังก่อเหตุได้แยกย้ายกันหลบหนีไปก่อนหน้าที่ตำรวจจะไปถึง

จากการสอบสวนทราบว่า นายนพพรมีอาชีพค้าขายก๋วยเตี๋ยว โดยตั้งร้านอยู่เยื้องโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนามน ก่อนเกิดเหตุเจ้าตัวขี่รถจักรยานยนต์มาพร้อมกลุ่มเพื่อน 3-4 คน เพื่อมาดื่มกินที่ร้านคาราโอเกะแห่งหนึ่ง

หลังร้านปิดทั้งหมดกำลังขี่รถจักรยานยนต์กลับบ้าน โดยเพื่อนๆ ขี่รถนำหน้า ส่วนนาย นพพรผู้ตายขี่รั้งท้ายมาตามลำพัง ก่อนจะถูกกลุ่มวัยรุ่นจำนวนมากขี่รถจักรยานยนต์ตามมาประกบ ใช้อาวุธมีดไล่ฟันแทง จนผู้ตายวิ่งโซซัดโซเซมาหกล้มใกล้ถังน้ำแข็ง แต่ก็ยังไม่หนำใจ กลุ่มวัยรุ่นดังกล่าวยังตามมารุมทำร้ายจนเสียชีวิตแล้วพากันหลบหนีไป

ขณะที่นางพรกล่าวทั้งน้ำตาว่า ลูกชายไม่เคยมีศัตรูหรือเรื่องบาดหมางกับใครหรือกับกลุ่มวัยรุ่นในพื้นที่มาก่อน แต่กลุ่มคนร้ายไม่น่าจะโหดเหี้ยมผิดมนุษย์ขนาดนี้ เหี้ยมโหดถึงขนาดตั้งใจจะเทน้ำมันราดกะเผาลูกตนให้ตายในกองเพลิง โชคดีที่มีผู้เห็นเหตุการณ์ไปช่วยดับไว้ทัน

“ฉันมาถึงที่เกิดเหตุลูกชายก็หายใจรวย ระรินจะขาดใจอยู่แล้ว ได้แต่เอามือไปปิดตาเขาไว้กลัวว่าวิญญาณเขาจะห่วงกังวล” นางพรกล่าวด้วยเสียงสะอื้น

ขณะที่ นายอำนวย ชมชื่น อายุ 52 ปี ผู้เป็นบิดาระบุว่า ตนและครอบครัวรับไม่ได้กับการตายของลูกชาย เพราะถูกรุมทำร้ายอย่างโหดเหี้ยม อีกทั้งลูกชายก็ไม่มีศัตรูหรือเรื่องบาดหมางกับใครมาก่อน จึงวิงวอนให้ เจ้าหน้าที่เร่งล่าตัวกลุ่มคนร้าย ซึ่งเป็นกลุ่มวัยรุ่นที่เหิมเกริมที่ไม่เกรงกลัวกฎหมายบ้านเมืองมาดำเนินคดีให้ได้

หลังเกิดเหตุฝ่ายสืบสวนลงพื้นที่หาข่าว รวมทั้งตรวจสอบกล้องวงจรปิดตามเส้นทางที่ผู้ตายขี่รถจักรยานยนต์มา โดยไล่ตั้งแต่ร้านคาราโอเกะที่ไปนั่งดื่มกินกัน เพื่อใช้เป็นเบาะแสในการติดตามจับกุมกลุ่มโจ๋โหด

ไม่ต้องรอนาน หลังผ่านไปแค่วันเดียวตำรวจก็จับกุมตัวคนร้ายไว้ได้บางส่วน โดยล่าสุดวันที่ 6 ต.ค. ที่ สภ.เมืองนครพนม พล.ต.ต.สุรชัย ควรเดชะคุปต์ รรท.ผบช.ภ.4 แถลงจับกุม นายเอ (นามสมมติ) อายุ 15 ปี นายบี (นามสมมติ) อายุ 17 ปี นายซี (นามสมมติ) อายุ 18 ปี นายดี (นามสมมติ) อายุ 18 ปี นายพลทอง หรือพล ยาปัญ อายุ 19 ปี นายวิษณุ แสงทอง หรือเอ็ม และนายอภิวัฒน์ พะพานทาง หรือ”โจ้ สี่มุมเมือง” ทหารเกณฑ์สังกัดหน่วยทหารแห่งหนึ่ง ซึ่งร่วมก่อเหตุ

พล.ต.ต.สุรชัย กล่าวว่า หลังก่อเหตุเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนลงพื้นที่สืบสวนหาข่าว กระทั่งทราบว่ากลุ่มวัยรุ่นที่ก่อเหตุเป็นวัยรุ่นบ้านวังตามัว มีทั้งหมด 9 คน จึงนำตัวมาสอบสวนจนรับสารภาพว่า ก่อนเกิดเหตุกลุ่มผู้ก่อเหตุขี่รถจักรยานยนต์ไปเที่ยวงานประเพณีไหลเรือไฟในตัวเมือง หลังงานเลิกได้แวะดื่มกินกันที่ร้านคาราโอเกะแห่งหนึ่ง

ทั้งหมดอ้างว่าขณะที่เช็กบิลกำลังจะกลับ ถูกกลุ่มผู้ตายขี่รถจักรยานยนต์มาด้วยกัน 3-4 คัน แล้วตะโกนท้าทายพร้อมทั้งยกนิ้วกลางให้ กลุ่มผู้ก่อเหตุจึงขี่รถจักรยานยนต์ไล่ตามไปขณะไล่ตามถูกกลุ่มผู้ตายถีบรถจักรยานยนต์จนล้มคว่ำไปด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย จึงเกิดการวิ่งไล่ทำร้ายชกต่อยกัน

นายนพพรผู้ตายวิ่งหนีข้ามถนนไปอีกฝั่ง ก่อนจะล้มลงแล้วถูกรุมแทงจนเสียชีวิต หลังก่อเหตุทั้งหมดก็แยกย้ายกันไปนั่งดื่มกินกันต่อที่บ้านของนายอภิวัฒน์ หรือ “โจ้ สี่มุมเมือง” กระทั่งถูกตำรวจตามจับกุมผู้ก่อเหตุไว้ได้ 7 คน ส่วนอีก 2 คนคือ นายวศิลป์ ศรีบุญเรือง หรือโจ้ อายุ 23 ปี และนายจำเริญทอง ยาปัญ หรือเต่า ยังหลบหนีการจับกุมอยู่

ด้านนายอภิวัฒน์สารภาพว่า เป็นผู้ใช้อาวุธมีดแทงนายนพพรจนเสียชีวิต ส่วนนายซี เป็นผู้ใช้น้ำมันราดและเผารถจักรยานยนต์ของ ผู้ตาย เบื้องต้นทั้งหมดถูกแจ้งข้อหา “ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์” ก่อนคุมตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองนครพนม ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

รู้ชื่อรู้ตัวขนาดนี้ อีก 2 คนคงจะรอดไปได้อีกไม่นาน ทางที่ดีจึงควรรีบเข้ามอบตัวเสียโดยเร็ว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน