คอลัมน์ สดจากสนามข่าว – เหตุสลดผลพวงพิษโควิด หนุ่มป่วยจิตขาดยา-คลั่ง แทงดับย่า-ไล่ฆ่าทั่วอุดร

ความหวาดผวากลับมาหลอกหลอนชาวเมืองอุดรธานีซ้ำสองหลังจากเมื่อต้นเดือนธ.ค. 2663 เกิดเหตุหนุ่มโรงเชือดหมูคลุ้มคลั่งอาละวาดไล่แทงคนไป ทั่วเมือง เป็นเหตุให้ 2 สาวต้องจบชีวิต และมีผู้บาดเจ็บอีกหลายราย

ผ่านไปไม่ถึงเดือนล่วงเลยวันขึ้นปีใหม่มาได้แค่ 2 วัน ร.ต.อ.ศักดา บุญก้อน รองสว. (สอบสวน) สภ.เมืองอุดรธานี ก็ได้รับแจ้งว่าเกิดเหตุร้ายขึ้นในช่วงเที่ยงวันที่ 2 ม.ค. เมื่อมีคดีฆ่าปาดคอสยดสยองขึ้นที่บ้านพักหลังหนึ่งในซอยโนนพิบูลย์ 1 เขตเทศบาลนครอุดรธานี

พล.ต.ต.สุภากร คำสิงห์นอก รอง ผบช.ภาค 4 ประชุมติดตามคดี

หลังทราบเรื่องจึงรีบรายงานผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น ก่อนนำกำลังรุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พร้อม พล.ต.ต.พิษณุ อุณหเสรี ผบก.ภ.จว.อุดรธานี พ.ต.อ.อารี สินธุรา ผกก.สภ.เมืองอุดรธานี เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน เจ้าหน้าที่พฐ. แพทย์เวรนิติเวช ร.พ.ศูนย์อุดรธานี และเจ้าหน้าที่มูลนิธิส่งเสริมธรรม

ที่เกิดเหตุเป็นบ้าน 2 หลังติดกัน หลังหนึ่งหน้าบ้านทำเป็นที่เล่นฟิตเนส ส่วนบ้านอีกหลังพบศพนางอนงค์ เลิศอำนวยลาภ อายุ 66 ปี ภรรยาเจ้าของบ้าน สวมเสื้อกันหนาวสีน้ำตาลนุ่งกางเกงวอร์ม สวมถุงเท้าสั้น นอนหงายเสียชีวิตจมกองเลือดบนพื้นห้อง

สอบปากคำหนุ่มคลั่ง

ตามร่างกายมีบาดแผลถูกของมีคมแทง 10 แผล ลำคอมีบาดแผลถูกมีดปาดคอยาวและลึก แพทย์ระบุว่าน่าจะเสียชีวิตมาแล้วประมาณ 3-5 ชั่วโมง

ต่อมาเจ้าหน้าที่รับแจ้งว่ามีเหตุคน ถูกแทงที่ร้านนวดแผนไทย ภายในซอยชุมชนโนนพิบูลย์ ห่างจากบ้านที่เกิดเหตุประมาณ 400 เมตร ทราบชื่อคนเจ็บคือ น.ส.อารียา เมืองมา อายุ 24 ปี หลังเกิดเหตุ น.ส.อารียาได้วิ่งไปขอความ ช่วยเหลือที่ร้านสะดวกซื้อไม่ห่างกัน

ไม่นานหลังจากนั้นก็ได้รับแจ้งอีกว่า คนร้ายยังไปก่อเหตุใช้อาวุธปืนยิงนาง ศิริรัตน์ พรมวงศ์ ผู้ช่วยพยาบาลจนได้รับบาดเจ็บ เหตุเกิดขึ้นที่โรงพยาบาลวัฒนา ถ.เพาะนิยม ตั้งอยู่ห่างจากบ้านที่เกิดเหตุจุดแรกไปประมาณ 300 เมตร

ตำรวจตรวจสอบอาวุธปืนที่ก่อเหตุ

แต่เจ้าหน้าที่ รปภ.ของโรงพยาบาลช่วยกันจับตัวคนร้ายที่ก่อเหตุเอาไว้ได้ เจ้าหน้าที่ตำรวจชุด 191 จึงได้ตามไปจับกุมพร้อมอาวุธมีดและอาวุธปืนขนาด 11 ม.ม.

พบว่าผู้ก่อเหตุเป็นหนุ่มวัย 22 ปี ซึ่งเป็นหลานชายของนางอนงค์ผู้เสียชีวิต และเป็นคนร้ายรายเดียวกับที่ทำร้ายน.ส.อารียา จึงคุมตัวกลับไปสอบสวน ยังบ้านที่เกิดเหตุหลังแรก

แต่เจ้าหน้าที่ก็ไม่สามารถสอบปากคำชายดังกล่าวได้ เพราะมีอาการคลุ้มคลั่งทันทีที่เห็นศพนางอนงค์ก็ร้องตะโกนโวยวายถามว่า ย่าเป็นอะไร? ใครทำอะไรย่า? แค่พักเดียวก็สงบแล้วเหมือนนึกขึ้นมาได้ว่าเป็นฝีมือตัวเองสลับกันไปเป็นระยะๆ

ต่อมา นายขจรศักดิ์ เลิศอำนวยลาภ สามีนางอนงค์และเป็นปู่ของผู้ก่อเหตุ ซึ่งเพิ่งกลับจากไปทำธุระมาถึงบ้านก็ตกใจเป็นอย่างมากต่อเหตุการณ์สุดสลดในครอบครัวที่เกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ

สอบปากคำปู่

คุณปู่ขจรศักดิ์ให้การเจ้าหน้าที่หลังเริ่มสงบสติอารมณ์ลงได้ว่า ผู้ก่อเหตุเป็นหลานชายในไส้ แต่ไปเติบโตใช้ชีวิตอยู่กับพ่อแม่ที่ประเทศอังกฤษ และมีอาการทางจิตเวชต้องรักษาและรับประทานยาบำบัดเป็นประจำ เพิ่งเดินทางกลับมาเยี่ยมปู่และย่าที่อุดรธานี เมื่อ 3 เดือนก่อน

แต่ด้วยสภาวการณ์ในปัจจุบันที่เกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 ทำให้ไม่สามารถเดินทางกลับประเทศอังกฤษได้ จึงพาหลานชายไปให้แพทย์ ร.พ.ศูนย์อุดรธานีตรวจและรับยามารับประทานชั่วคราว รอให้สถานการณ์ของไวรัสร้ายเบาบาง เพื่อส่งกลับไปรักษาต่อที่ประเทศอังกฤษ

ตามปกติย่าจะเป็นคนคอยบอกให้หลานกินยามาตลอด แต่คาดว่าช่วงก่อนก่อเหตุอาจไม่ได้รับประทานยาตามเวลาทำให้เกิดอาการกำเริบ ก่อเหตุฆ่าย่าขโมยปืนปู่ออกไปก่อเหตุ

หนึ่งในผู้บาดเจ็บเหยื่อหนุ่มคลั่ง

ขณะที่ผู้ก่อเหตุถูกควบคุมตัวที่ สภ. เมืองอุดรธานี ก็มีอาการคลุ้มคลั่งเป็นระยะ ตำรวจต้องแจ้งให้ญาตินำยาระงับประสาทมาให้รับประทาน พร้อมแยกขังเดี่ยวไม่ให้ปะปนกับผู้ต้องขังรายอื่น

พล.ต.ต.สุภากร คำสิงห์นอก รอง ผบช.ภาค 4 รุดประชุมเจ้าหน้าที่เพื่อติดตามคดี ก่อนสรุปให้ส่งตัวไปตรวจสภาพจิตที่ ร.พ.ศูนย์อุดรธานี หลังจากคุมตัวไว้ถึง 2 วัน แต่ไม่สามารถสอบปากคำอะไรได้ เพราะมีอาการคลุ้มคลั่งตลอดเวลา

กระทั่งแพทย์ยืนยันมาแล้วว่ามีอาการป่วยทางจิตจริง จึงประสานส่งตัวไปบำบัดที่ ร.พ.จิตเวชเลยราชนครินทร์ จ.เลย เป็นเวลา 45 วัน ก่อนจะให้แพทย์ประเมินผลการรักษาอีกครั้ง หากอาการดีขึ้นก็ต้อง คุมตัวไว้ดำเนินคดี

เนื่องจากตามกฎหมายเขียนไว้ชัดว่า ป.วิอาญา มาตรา 14 และ พ.ร.บ.สุขภาพจิต ที่ให้อำนาจ ตร.ใช้ดุลพินิจในกรณีที่ผู้ต้องหาเป็นผู้วิกลจริตหรือป่วยทางจิตต้องส่งตัวผู้ต้องหาไปรักษาที่ ร.พ.จิตเวชให้หายก่อน เมื่อผู้ต้องหารักษาหายจึงนำตัวกลับมาดำเนินคดีต่อไป

พฤตินัย มั่งสวัสดิ์

วัฒนชัย จำนงค์ทอง

นาริสา หลักทอง

อุดม ปิดตาทานัง

เรื่อง/ภาพ

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน