คอลัมน์ แฟ้มคดี

ปปท.สั่งเชือด‘ชัยวัฒน์’ – ยังคงเป็นเรื่องราวที่ถูกจับตาอย่างใกล้ชิด สำหรับการต่อสู้ของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงบางกลอย

ที่ประกาศจะเดินทางกลับบ้านเกิดที่บ้านใจแผ่นดิน ภายในเขต อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี หลังจากต้องพลัดที่นาคาที่อยู่จากแนวนโยบายของรัฐ

ทั้งที่เคยอยู่ในที่ดังกล่าวมานานกว่าร้อยปี นานกว่าการประกาศเขตพื้นที่ป่าเสียอีก!??

ต้องเผชิญกับไม้แข็ง ไม่ว่าจะเป็นการใช้กำลังจากเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งการกวาดต้อน เผาทำลายทรัพย์สิน

ชัยวัฒน์-บิลลี่

ผ่านการต่อสู้มานับสิบปี ต้องเผชิญกับปฏิบัติการข่าวสาร ระบุว่าชาวกะเหรี่ยงไม่ใช่คนไทย ทำลายป่าต้นน้ำ ซึ่งก็ต้องสู้ด้วยความจริงเรื่อยมา

ต่อสู้กันจนแกนนำคนสำคัญอย่าง ‘บิลลี่ พอละจี’ ถูกอุ้มหาย และจนถึงวันนี้ความยุติธรรมก็ยังไม่ปรากฏ

ในขณะที่เรื่องราวยังไม่สรุป ปปท.มีคำสั่งให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สั่งให้นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร อดีตหัวหน้าอุทยานแก่งกระจาน ออกจากราชการ ด้วยความผิดบุกทำลายบ้านกะเหรี่ยงนับร้อยหลัง

พร้อมให้ดำเนินคดีอาญา

ซึ่งต้องรอดูต่อไปว่าคดีจะสิ้นสุดลงที่ใด และชาวกะเหรี่ยงบางกลอยจะได้กลับบ้านเกิดหรือไม่

ต้องติดตามกันต่อไป

● ฟัน‘ชัยวัฒน์’เผาบ้านปู่คออี้

ท่ามกลางความสับสนในเรื่องของการเดินทางกลับบ้านเกิดที่บ้านบางกลอย ในอ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน

อย่างน้อยมีความจริงอีกด้านปรากฏขึ้น เมื่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ หรือป.ป.ท. ที่มี นายประสาท พงษ์ศิวาภัย เป็นประธาน มีมติชี้มูลความผิด นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผอ.สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 9 อุบลราชธานี กรมอุทยานแห่งชาติฯ ในความผิดสมัยที่ยังดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี

ที่ร่วมกับเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติรวม 6 คน เข้ารื้อถอน เผา ทำลายบ้านเรือน ยุ้งฉาง และทรัพย์สินอื่นๆ ของนายโคอิ มีมิ หรือปู่คออี้ ผู้นำทางจิตวิญญาณของชาวกะเหรี่ยงแก่งกระจาน และชาวบ้านอีกหลายราย โดยระบุว่าเป็นความผิดตามมาตรา 157 ของประมวลกฎหมายอาญา และให้ออกจากราชการ

พร้อมให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ต้นสังกัด ดำเนินการทางวินัยและส่งสำนวนให้พนักงานอัยการสั่งฟ้องในคดีอาญา

สำหรับเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นระหว่างช่วงวันที่ 5-9 พ.ค. 2554 นายชัยวัฒน์และพวกเจ้าหน้าที่ของอุทยานแห่งชาติ เข้ารื้อถอนเผาทำลายบ้านเรือน ยุ้งฉาง และทรัพย์สินอื่นๆ ของนายโคอิ หรือปู่คออี้ มีมิ และของชาวบ้านอีกหลายรายซึ่งเป็นชาวพื้นเมืองดั้งเดิมเชื้อสายกะเหรี่ยงที่หมู่บ้านบางกลอยบนและใจแผ่นดินได้รับความเสียหายราว 100 หลัง

จากนั้นนายคออี้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีนายชัยวัฒน์ และพวกต่อพนักงานสอบสวน สภ.แก่งกระจาน และสำนวนถูกส่งไปยัง ป.ป.ท. มีการสืบสวนสอบสวนเป็นระยะเวลานานกว่า 9 ปีกระทั่งมีมติชี้มูลความผิด ขณะที่ความผิดตามมาตรา 217 วางเพลิงเผาทรัพย์ และมาตรา 358 ทำให้เสียทรัพย์กำลังจะขาดอายุความ 10 ปี ในเดือน พ.ค. 2564

ปปท.สั่งเชือด‘ชัยวัฒน์’

เผาบ้านกะเหรี่ยง

คดีดังกล่าว นายคออี้ฟ้องศาลปกครองสูงสุด ซึ่งมีคำพิพากษามาเมื่อวันที่ 12 มิ.ย. 2561 กรณียื่นฟ้องกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ให้ชดใช้ค่าเสียหายจากกรณีพนักงานเจ้าหน้าที่รื้อถอน เผาทำลายสิ่งปลูกสร้างและทรัพย์สินซึ่งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน

โดยศาลปกครองสูงสุดพิพากษาว่า พิจารณาถึงพฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดในคดีนี้ ประกอบข้อเท็จจริงปรากฏว่า พนักงานเจ้าหน้าที่ของกรมอุทยานฯ สามารถใช้ดุลพินิจไม่ใช้มาตรการที่มีความรุนแรงกระทำต่อสิ่งปลูกสร้างและทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีได้ แม้จะมีกฎหมายให้อำนาจไว้ก็ตาม การเผาทำลายสิ่งปลูกสร้างและทรัพย์สินจึงทำให้ผู้ฟ้องคดีทั้งหกต้องสูญเสียปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิต ถือเป็นพฤติการณ์ที่มีความร้ายแรงกระทบกระเทือนสาระสำคัญแห่งสิทธิในการดำรงชีวิตและสิทธิในทรัพย์สินอันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของบุคคลตามรัฐธรรมนูญ โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย

จึงให้กรมอุทยานฯ ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดีที่ 1 เป็นเงิน 51,407 บาท ผู้ฟ้องคดีที่ 2 เป็นเงิน 51,032 บาท ผู้ฟ้องคดีที่ 3 เป็นเงิน 51,407 บาท ผู้ฟ้องคดีที่ 4 เป็นเงิน 45,302 บาท ผู้ฟ้องคดีที่ 5 เป็นเงิน 50,807 บาท และผู้ฟ้องคดีที่ 6 เป็นเงิน 51,032 บาท ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา

เป็นบทสรุปของการใช้อำนาจของจนท.รัฐที่ไม่เป็นธรรม

● เจ้าตัวสู้-ยื่นเอาผิดปปท.

ขณะที่นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวง ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ผู้บังคับบัญชานายชัยวัฒน์ ระบุว่า กล่าวว่า เมื่อป.ป.ท.ชี้มูลและมีมติออกไปแล้ว ทุกอย่างก็ต้องเป็นไปตามนั้นคือไม่สามารถขัดมติได้ ไม่สามารถอุทธรณ์ได้เพราะเป็นกฎหมายตามความผิดที่ ป.ป.ท.ชี้มูลทันที

มติ ป.ป.ช. และป.ป.ท.จะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือจากป.ป.ท. นายชัยวัฒน์ต้องออกจากราชการ

นายสุรพงษ์ กองจันทึก อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชน สภาทนายความ กล่าวว่า มติของ ป.ป.ท.ทำให้เกิดความยุติธรรมต่อปู่คออี้ และชาวบ้าน 98 หลัง ที่ถูกเจ้าหน้าที่อุทยานฯ เผาตามยุทธการตะนาวศรี เพราะมีหลักฐานว่าพื้นที่ที่ถูกเผาคือใจแผ่นดิน อยู่ในรายงานของอุทยานฯ แก่งกระจานชัดเจน ไม่ใช่กองกำลังต่างชาติที่เข้ามาค้ายาเสพติด ตามที่เจ้าหน้าที่อ้าง

อย่างไรก็ตาม นายชัยวัฒน์ก็ยังตอบโต้ ระบุว่า ถูกกลั่นแกล้ง ทั้งหมดเป็นการสอบสวนโดยมิชอบ ซึ่งการสอบสวนเหมือนถูกตั้งธงมาแล้ว ไม่มีการสอบถามว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไรบ้าง ใครเป็นคนเผา ภาพที่ปรากฏตามข่าวที่มีการเผาบ้านนั้นเป็นคนละจุดกับหมู่บ้านปู่คออี้ บ้านของปู่คออี้อยู่ที่ห้วยสามแพร่ง จ.ราชบุรี ไม่มีการเผาทำลายแต่อย่างใด

ส่วนจุดที่เผาเป็นพื้นที่สันชายแดนไทยพม่า ไม่ทราบแน่ชัดว่าใครเป็นเจ้าของ แต่ขณะที่เจ้าหน้าที่เข้าไปเจรจากับกลุ่มคนที่อยู่จุดนั้น ส่วนใหญ่พูดภาษาไทยไม่ได้ และพบการพกพาอาวุธ มีการปลูกกัญชาซึ่งเป็นยาเสพติด และสุดท้ายเมื่อเขารู้ว่าเจ้าหน้าที่รู้ว่าเขามียาเสพติดเขาก็ทิ้งพื้นที่และอพยพกันไป

พร้อมเดินหน้าแจ้งความดำเนินคดีต่อบก.ปปป. เพื่อให้เอาผิด คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ที่มีมติชี้มูลความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตาม ม.157

สู้กันยาวเป็นหนังชีวิตแน่นอน

● ย้อนที่มา‘เซฟบางกลอย’

อย่างที่รู้กันว่าการต่อสู้ของชาวกะเหรี่ยงบางกลอยผ่านการต่อสู้กันมายาวนาน โดยนักต่อสู้คนสำคัญที่จะลืมไม่ได้ก็คือบิลลี่ พอละจี รักจงเจริญ ลูกของปู่คออี้ ที่หายตัวไปอย่างปริศนาหลังถูกนายชัยวัฒน์ จับกุมข้อหามีน้ำผึ้งป่า ต่อมาอ้างว่าปล่อยตัวไป เหตุเกิดเมื่อปี 2557

ต่อมาในปี 2563 ดีเอสไอมีความเห็นส่งอัยการสั่งฟ้องนายชัยวัฒน์และพวกในคดีอุ้มฆ่าบิลลี่ แต่สุดท้ายอัยการสั่งไม่ฟ้องคดี เรื่องอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานโดยภรรยาของบิลลี่ เพื่อจะฟ้องคดีเอง

ประกาศต่อสู้จนกว่าจะได้รับความยุติธรรม

ดำเนินคดีชาวบ้าน

สำหรับความขัดแย้งของชาวบ้านใจแผ่นดิน-บางกลอย ที่ยืดเยื้อยาวนานกันมาไม่ต่ำกว่า 20 ปี กลายมาอยู่ในความสนใจของสังคมอีกครั้ง เมื่อเครือข่ายภาคี Save บางกลอย รณรงค์ในเรื่องการกลับคืนสู่บ้านเกิดที่ใจแผ่นดินของชาวกะเหรี่ยงบางกลอย เมื่อต้นปี 2564

และเมื่อชาวกะเหรี่ยงเหล่านี้เดินทางกลับไปก็ต้องเผชิญกับการสกัดกั้นของเจ้าหน้าที่กรมอุทยานสัตว์ป่าและพันธุ์พืช นำมาซึ่งการเดินทางเข้ามาเรียกร้องในกทม.ต่อหน่วยงานต่างๆ รวมทั้งที่หน้าทำเนียบรัฐบาล

จากนั้นทำเอ็มโอยูร่วมกัน 6 ข้อ โดยมีนายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมลงนาม เมื่อวันที่ 16 ก.พ.2564 โดยมีข้อเรียกร้อง โดยสรุปให้ชาวบ้านกลับไปทำไร่หมุนเวียนได้ โดยรับรองสิทธิในการอยู่อาศัย ยุติการสกัดกั้นของจนท. และการข่มขู่คุกคาม หยุดขัดขวางการส่งเสบียง ให้รัฐบาลทำตามมติครม. 3 ส.ค. 2553 หยุดจับกุมเกษตรกรที่ทำไร่หมุนเวียน

เครือข่าย Save บางกลอย

แต่พอผ่านมาอีกเพียงวันเดียว ชาวบ้านที่เดินทางกลับบ้านก็ต้องเผชิญการสกัดกั้นของเจ้าหน้าที่ภายใต้ชื่อยุทธการพิทักษ์ป่าต้นน้ำเพชร กดดันจับกุมให้ต้องออกจากพื้นที่ โดยเฉพาะนายหน่อแอะ มีมิ ลูกชายของปู่คออี้ ที่ประกาศว่าไม่ยอมลงแน่นอน จะขอตาย คาที่บ้านเกิด ส่วนใครไม่ยอม จะยิงให้ตายก็คงไม่โกรธ

สุดท้ายเมื่อวันที่ 5 มี.ค.จนท.อุทยานฯ ก็ใช้เฮลิคอปเตอร์ไปเอาตัวนายหน่อแอะ และพวกอีกกว่า 10 คนลงมา พร้อมแจ้งข้อหาบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติ

ท่ามกลางการจับตาว่าที่รับปากไปตอนแรกก็เพื่อลดกระแสการชุมนุมในช่วงอภิปรายไม่ไว้วางใจเท่านั้น

แต่ไม่ได้มองเห็นปัญหาที่แท้จริงเลยแม้แต่น้อย

ถือเป็นเรื่องราวการต่อสู้ของกลุ่มชาติพันธุ์ ที่ยังไม่ยุติลงง่ายๆ อย่างแน่นอน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน